เรื่อง กฎเหล็ก
ผศ. คนอง วังฝายแก้ว
หัวหน้าสาขาวิชารัฐศาสตร์ /อาจารย์ประจำ
การลงโทษอาญา กรณี : เปรียบเทียบกับกฎหมาย ๓ ฉบับ คือ
มังรายศาสตร์(กฎหมายพระเจ้ามังราย) กฎหมายปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2535 และพระวินัยปิฎก(กฎหมายที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น)
กฎหมายคือกฎ กติกา และข้อบังคับ ซึ่งถือว่าเป็นกติกาทางสังคมทุกคนจะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม จะอ้างมิได้ว่าไม่รู้กฎหมายไม่ปฏิบัติตามทำไม่ได้ กฏหมายเป็นธรรมนูญอันสูงสุด เพื่อนำมาใช้ควบคุมบุคคลทั่วไปที่กระทำผิดหรือล่วงละเมิดกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่าคนไทยทุกคนหรือคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยพึ่งบุญบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในผืนแผ่นดินไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทย แม้แต่สมัยพระเจ้ามังรายเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ใน ปี พ.ศ. 1835 ซึ่งเป็นช่วงที่พ่อขุนรามคำแหงทรงปกครองอาณาจักรสุโขทัย พระองค์ก็ทรงบัญญัติกฎหมายขึ้นปกครองประชาชนของพระองค์ ที่เรียกว่า มังรายศาสตร์ คือกฎหมายของพระเจ้ามังรายผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ สาระสำคัญของเนื้อหาของกฎหมายมังรายศาสตร์ เป็นการกล่าวถึงวิธีพิจารณาความและตัดสินความในแง่มุมต่าง ๆ ของคนในสมัยนั้น ซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละรูปคดี คล้ายกับเป็นคู่มือการพิจารณาของศาลมากกว่าการตัดสิน โดยมีบทกำหนดโทษตั้งแต่เบาที่สุด ถึงหนักที่สุด โทษเบาที่สุดก็ให้ขอขมาซึ่งกันและกัน โทษหนักที่สุดก็ให้ประหารชีวิต ส่วนโทษขนาดกลางก็คือให้ปรับหรือริบทรัพย์สิน ในคัมภีร์ใบลานฉบับนี้ไม่ได้แยกประเภทของกฎหมายออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนนัก คงกล่าวปะปนกันไปเป็นเรื่อง ๆ ติดต่อกันไป นอกจากจะบอกวิธีตัดสินพิจารณาความแล้วยังมีการยกตัวอย่างจากคัมภีร์ต่าง ๆ ของพระพุทธศาสนามาเปรียบเทียบตัดสินด้วย ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง กฎหมายมังรายศาสตร์จะมีลักษณะสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ[1]
1.ส่วนที่เป็นความผิดทางอาญา
2.ส่วนที่เป็นความผิดลักษณะการลงโทษ
การกำหนดโทษทางอาญาสถานหนัก มีอยู่ 3 สถานคือ
1.ประหารชีวิต
2.ตัดเท้าตัดมือ
3.นำไปขายต่างเมือง
จะเห็นได้ว่าโทษสถานหนักทั้งสามข้อ จะลงโทษผู้ที่กระทำความผิดเฉพาะสาเหตุที่ทำความผิดทั้ง 12 ข้อ
1. ฆ่าผู้ไม่มีความผิด
2. ฆ่าท่านเอาทรัพย์
3. ทำลายกุฏิ,วิหาร,พระพุทธรูป
4. รุกล้ำที่
5. ชิงทรัพย์
6. ขโมยของพระสงฆ์
7. ลูกฆ่าพ่อ
8. ลูกฆ่าแม่
9. น้องฆ่าพี่
10.ฆ่าเจ้า
11.เมียฆ่าผัว
12.รับผู้คนของท้าวพระมาพักในบ้าน
จะเห็นได้ว่ากฎหมายมังรายศาสตร์ จะมีลักษณะการลงโทษจากเบาไปหาหนัก ตามโทษานุโทษ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกฎหมายอาญาในปัจจุบัน สิ่งที่น่าสังเกตว่าในสมัยก่อนความผิดที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวจะมีการลงโทษเด็ดขาด เช่น มารดามีอำนาจเหนือบุตรจะฆ่าทิ้งหรือขายเสียก็ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าลูกฆ่าพ่อหรือฆ่าแม่จะได้รับโทษสถานหนัก เช่นเดียวกันกับเมียฆ่าผัว ต้องถูกลงโทษสถานหนักเช่นกัน
สิ่งที่น่าสังเกตว่า ตัดสินคดีความเพื่อความยุติธรรมของกฎหมายมังรายศาสตร์ เมื่อเกิดคดีขึ้น ก็จะมีการไต่สวนพิจารณาความกันอย่างรอบคอบ มีการอ้างสักขีพยานบุคคล หรือพยานวัตถุ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีการเปรียบเทียบตัดสินโดยอาศัยหลักธรรมและตัวอย่างในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก มีการแนะนำหลักของพิจารณาตัดสิน และกำหนดลักษณะของผู้ไต่สวนหรือตัดสินด้วย นั้นก็คือผู้ตัดสินไต่สวนต้องมีคุณธรรมประจำใจ ฉลาดทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม ในกฎหมายมังรายศาสตร์ ได้ใช้คำว่า เป็นผู้ฉลาดในศาสตระศิลป์ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม และที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นจะมีการซื้อขายทาสกันอยู่ แต่สังคมในสมัยนั้นก็ยังให้เกียรติและเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดสินพิจารณาบทลงโทษหรือการแบ่งทรัพย์สินจะมีการให้เกียรติและเห็นความสำคัญของผู้หญิงมากเป็นกรณีพิเศษ เพราะถือว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่และเป็นเพศที่อ่อนแอ
ส่วนของกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ หมวดที่ 4 ที่ว่าด้วยนิคหกรรมและการสละสมณเพศ จะมีการลงโทษพระสงฆ์ไปตามลำดับขั้นตอนตามความผิดที่ได้กระทำลงไป จากโทษเบาไปหาโทษสถานหนักเช่นเดียวกัน คือต้องสละสมณะเพศ(สึกจากความเป็นพระภิกษุ)ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 26 ว่า “พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัยและได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายใน ยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น”
คำว่า”นิคหกรรม” คือ การลงโทษตามพระธรรมวินัยหรือสังฆกรรมประเภทลงโทษผู้ทำความผิด มีทั้งหมด 6 ข้อ คือ[2]
1.ตัชชะนียกรรม คือ กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่ เช่น พระภิกษุก่อความทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์เป็นผู้มีอาบัติมาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่สมควร
2.นิสยกรรม คือ
กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศได้แก่การถอดยศเป็นชื่อนิคหกรรมที่สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้มีอาบัติมาก
หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร
โดยปรับให้ถือนิสัยใหม่อีก
3.ปัพพาชนียกรรม คือ
กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันพึงจะไล่เสียหรือการไล่ออกจากวัดกรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลและประพฤติเลวทรามเป็นข่าวเซ็งแซ่หรือแก่ภิกษุผู้เล่นคึกคะนองอนาจารลบล้างพระบัญญัติและมิจฉาชีพ
4. ปฏิสารณียกรรม คือ
กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุให้ไปขอขมาคฤหัสถ์ เช่น
ภิกษุด่าคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นทายกอุปฐากสงฆ์ด้วยปัจจัยสี่เป็นทางจะยังคนผู้ยังไม่เสื่อมใสมิให้เลื่อมใส
จะยังคนผู้เลื่อมอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นไปเสีย
5. อุกเขปนียกรรม คือ
กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย
เช่นวิธีการลงโทษที่สงฆ์กระทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้ว
ไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติหรือไม่ยอมทำคืนอาบัติหรือมีความเห็นชั่วร้าย
(ทิฏฐิบาป) ไม่ยอมสละซึ่งเป็นทางเสียสีลสามัญญตา หรือทิฏฐิสามัญญตา
โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ์ คือ ไม่ให้ฉันร่วมไม่ให้อยู่ร่วม
ไม่ให้มีสิทธิเสมอกับภิกษุทั้งหลายพูดง่ายๆว่าถูกตัดสิทธิแห่งภิกษุชั่วคราว
6.
ตัสสปาปิยสิกากรรม คือ
กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุนั้นเป็นผู้เลวทราม
กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้เป็นจำเลยในอนุวาทาธิกรณ์ ให้การกลับไปกลับมา เดี๋ยวปฏิเสธ เดี๋ยวสารภาพพูดถลากไถล พูดกลบเกลื่อนข้อที่ถูกซักพูดมุสาซึ่งหน้า สงฆ์ทำกรรมนี้แก่เธอเป็นการลงโทษตามความผิดแม้ว่าเธอจะไม่รับ หรือเพื่อเพิ่มโทษจากอาบัติที่ต้อง
ถ้าพระภิกษุได้กระทำความผิดทางอาญาตามมาตรา 29 ว่า ”พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควร ให้ปล่อยตัวชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุมหรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุมหรือพระภิกษุรูปนั้นไม่ได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่งให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณะเพศเสียได้”
จะเห็นได้ว่า กฎหมายปกครองคณะสงฆ์ มีการกำหนดโทษพระภิกษุที่ได้กระทำผิดพระธรรมวินัย เป็นอาจิณ จนไม่สามารถอยู่ในวงศ์จรของสังคมสงฆ์หรือหมู่สงฆ์ได้ จะต้องได้รับการลงโทษสถานหนัก คือการสละสมณะเพศจากความเป็นพระภิกษุ มาเป็นคฤหัสถ์ ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองที่จะลงโทษบุคคลนั้นให้เป็นไปตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 29 ของกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ข้างต้น สิ่งที่น่าสังเกตว่ากฎหมายปกครองคณะสงฆ์ในมาตรา 26 ที่พระภิกษุทำความผิดและได้รับนิคหกรรมให้สึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงถือว่าเป็นการลงโทษสถานหนักสำหรับพระภิกษุ แต่ว่าสึกมาแล้วเป็นคฤหัสถ์ ปรับปรุงตนเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเก่าๆที่เคยกระทำมา ถ้ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็สามารถเข้ามาอุปสมบทเป็นพระภิกษุใหม่ได้ เพราะว่ามิใช่ความผิดทางอาญา ถึงขั้นศาลสั่งจำคุก หรือต้องอาบัติปาราชิกสี่
สำหรับกฎหมายที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (พระวินัยบัญญัติ) พระองค์จะไม่ทรงบัญญัติข้อห้ามก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์การกระทำความผิดเกิดขึ้น พระองค์ก็ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้ภิกษุรูปต่อไปกระทำความผิดซ้ำ ๆ อีก เป็นการปรามภิกษุรูปอื่น ๆ ที่จะกระทำความผิดในกรณีเช่นเดียวกันในอนาคต ส่วนสาระสำคัญของพระวินัยหรือศีล คือ ข้อห้ามสำหรับพระภิกษุ มีทั้งหมด 227 ข้อ ส่วนที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับกฎหมายอาญาของบ้านเมือง มีอยู่ 4 ข้อ ที่เรียกว่า ปาราชิกสี่ ส่วนข้อที่สำคัญหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญา มีอยู่ 3 ข้อคือ
1.เสพเมถุน (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ (ขโมย)
3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)
จะเห็นได้ว่า พระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ เพื่อเป็นการห้ามปรามพระภิกษุหัวดื้อ ที่จะล่วงละเมิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะข้อห้ามทั้ง 3 ข้อ ถ้าพระภิกษุรูปใด ไปกระทำความผิดในข้อใดข้อหนึ่ง จะต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที ถึงแม้ว่าพระภิกษุรูปอื่นหรือบุคคลทั่วไปไม่รู้ว่าพระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิกสี่ ข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ถือว่าพระภิกษุรูปนั้นขาดจากความเป็นพระภิกษุโดยทันที (เป็นคฤหัสถ์) โดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าพระภิกษุรูปนั้นรู้ตัวว่าตนเองมิใช่พระภิกษุ ยังดื้อ ไม่มีความละอาย ยังดื้อดึงเข้าร่วมสังฆกรรมนั้น จะทำให้ สังฆกรรม (กิจกรรมที่พระสงฆ์จัดทำขึ้นจำนวนสี่รูปขึ้นไป) ไม่สมบูรณ์หรือด่างพล้อย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าขั้นตอนต่อไปเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายกับภิกษุรูปนั้นที่ต้องอาบัติปาราชิกสี่โดยเฉพาะข้อที่สาม คือ การฆ่าคน ตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้ตามความผิดจากโทษเบาไปหาโทษสถานหนัก คือ ประหารชีวิต สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า พระภิกษุที่ต้องอาบัติหนักคือปาราชิกสี่ข้อใดข้อหนึ่ง ถูกสั่งให้สึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ไม่สามารถเข้ามาอุปสมบทเป็นพระภิกษุใหม่ได้ เปรียบเสมือนต้นตาลยอดด้วน ไม่งอกงามในพระพุทธศาสนา.
กล่าวโดยสรุป กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ กฎหมายมังรายศาสตร์ กฎหมายการปกครองคณะสงฆ์ 2505 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2535) และพระวินัยบัญญัติ (กฎหมายที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น) เป็นกฎหมายมีระบบการไต่สวนพิจารณาความที่สอดคล้องกันอย่างรอบคอบ มีการอ้างสักขีพยานบุคคล หรือพยานวัตถุ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีการเปรียบเทียบตัดสินโดยอาศัยหลักธรรมและตัวอย่างในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก มีการแนะนำหลักของพิจารณาตัดสิน และกำหนดลักษณะของผู้ไต่สวนหรือตัดสินด้วย นั้นก็คือผู้ตัดสินไต่สวนต้องมีความเป็นกลาง มีความเที่ยงตรง และมีคุณธรรมประจำใจ
ไม่มีความเห็น