ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสทบทวนสาเหตุ ที่ไปที่มา ของความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน และที่ดิน ว่า เกิดจากอะไร มีแนวทางแก้ไขได้อย่างไร
ก็ได้ข้อสรุปที่สำคัญคือ
ฝ่ายวางแผนก็วางไปตามความคิดของตนเอง ให้ฟังดูดี ผลจะเกิดอย่างไรนั้น ไม่เคยติดตามประเมินผลเพื่อการปรับปรุงอะไร
อย่างมากก็เขียนใหม่ให้ฟังดูดีกว่าเดิม
ฝ่ายวิชาการ ก็ทำงานตามความรู้สึกของตนเอง ใครจะได้อะไร หรือเสียอะไรข้าไม่เกี่ยว ขอให้ข้ามีผลงานตีพิมพ์ ก็พอใจแล้ว
ฝ่ายคนกลางและพ่อค้าก็เน้นการทำกำไร พอๆกับนักการเงินการธนาคาร ตราบใดที่ตัวเองยังได้กำไร มีผลประกอบการดี ใครจะเดือดร้อนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า
นักธุรกิจสารเคมีทางการเกษตรก็เน้นการผลิตสารเคมีออกมาขาย จะเป็นพิษเป็นภัยอย่างไรกับใคร ก็ไม่เป็นไร ขอให้ขายได้ มีกำไรก็ถือว่าประสพผลสำเร็จแล้ว
เกษตรกรทั่วไปก็มีความรู้ไม่พอใช้ ใครว่าอะไรดีก็ทำตามไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ผู้บริโภค ที่ดิน และสิ่งแวดล้อม
ผู้บริโภคก็หลับตา ปิดหู อุดจมูก บริโภคสารพิษอยู่ทุกวัน แบบชอบพูดว่า "ไม่มีทางเลือก"
ปัจจุบันจึงมีสารเคมีที่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าวางขาย และใช้กันทั่วไปเหมือนของเล่น
ไม่ว่าจะยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหนู ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าปลวก ยาฆ่าปู ยาฆ่าหอย ฯลฯ และอีกหลายชนิด ที่ทุกชนิดไม่พ้นกลับมาฆ่าคน ทั้งคนใช้และคนบริโภค
ทำให้เราแทบไม่มีทางเลือกและทางรอด
ยกเว้นเสียแต่ว่า
ต้องมีเกษตรกรที่ดี มีทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถระดับ Good Agricultural Practice (GAP) หรือ Good Management Practice (GMP) ที่หันมาดูแลที่ดินให้ "อุดม" และ "สมบูรณ์"
ใช้แบบเพื่อน อยู่กันแบบเพื่อน
ทำให้เพื่อนแข็งแรงอุดมสมบูรณ์ ให้ผลผลิตได้ดี แบบที่เรามักเรียกว่า
ความอุดมสมบูรณ์ของดินและที่ดิน
ที่มีกำลัง และพลังสำรองในการสนับสนุนให้พืชและสัตว์เจริญเติบโตได้ดี
ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงการทำให้ที่ดินเป็นทาสรับใช้ จะเสื่อมโทรมอย่างไรก็ใช้ไปอย่างนั้น ไม่ได้เป็นอันขาด
เพราะการเสื่อมโทรมของดินและที่ดิน จะทำให้เจ้าของที่ดินต้องลงทุนมาก ได้ผลผลิตน้อยและนำไปสู่การขาดทุน ที่จะทำให้ทั้งชีวิต ระบบเศรษฐกิจและระบบครอบครัวเปราะบาง
แต่ต้องหันมาพัฒนาดินและที่ดินให้ "อุดม" (มีมาก) และ "สมบูรณ์" (มีครบ)
ยิ่งเป็นแบบ "ปุ๋ยสั่งตัด" ที่กำลังเป็นกระแสแห่งความฝันของนักวิชาการและผู้ค้าปุ๋ยอยู่ในขณะนี้ ก็แทบไม่ต่างจากไปกู้เงินมาใช้แบบวันต่อวันให้พอดีๆ ที่ไม่มีทางที่จะทำให้ระบบชีวิต หรือดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้เลย
เพราะ ดินจะอุดม และสมบูรณ์ได้ ต้อง
ทำให้ทั้งเกษตรกรและบุคคลทั่วไป สามารถพึ่งพาดินและที่ดินได้
แบบเดียวกับระบบพึ่งพากันในครอบครัว ที่เมื่อทุกคนแข็งแรงสมบูรณ์ เราก็สามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ ทั้งภายในและภายนอก
ถ้าเรายังอ่อนแอ แต่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ก็คงไม่ต่างจากการใช้แบบ "ทาสรับใช้" ใช้กันจน "เสื่อม" จน "ป่วย" หรือ ตายจากกันไปแบบ "โทรมๆ"
ดังนั้น ถ้าคิดจะมีอาหาร คุณภาพชีวิต ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่ดี ต้องหนีจากความเสื่อมโทรม มาสู่ความอุดมสมบูรณ์ แบบไม่หลอกตัวเองครับ
แต่ถ้าใครคิดจะหลอกตัวเอง เอากะลาครอบให้มองเห็นเฉพาะตัวเอง คนอื่นหรืออะไรจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ไม่ว่ากันครับ
ขอให้โชคดีมีชัยครับ
ต้องให้ความรักกับเค้าด้วย นะครับ
ความพอเพียง ควรเพียงพอความต้องการ(จำเป็น) ณ สถานที่(ที่นี้และบริเวณใกล้เคียง) ณ เวลา (เดี๋ยวนี้และต่อไป)
It is very clear sir! We cannot be selfish and only look after our own interests,
We need to extend our world --our life-- to our environment, our neighbours and the future for "all".
Perhaps, we now come to understand "atta" and "anatta" better.
In the nutshell, it is really "one for all and all for one". ;-)
อยากให้เกษตรกร และทุกคนในโลก
หวนสู่ความคิด ความเชื่อ เดิม ๆ ที่มีความหมายและความผูกพันเชื่อมโยงต่อกัน
เช่น การเคารพพระแม่ธรณี
เมื่อเราจะทำอะไรที่ไม่ดีกับดิน
ผลร้ายจะกลับมาสู่เราเอง
สมัยนี้ ต่างคนอยากได้ผลผลิต
เรื่องอื่น ๆ แทบไม่สนใจเลย
อาจารย์สบายดีนะครับ