เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เกิดมาแล้วก็ต้องดำรงตนอยู่ในโลกตามวิถี เรี่มต้นเรียนรู้ที่จะนั่ง คลาน เดิน วิ่ง ทำทุกอย่างให้ได้ด้วยตนเองถามวิถีของสังคม ธรรมชาติของมนุษย์ จนมาถึงวันนี้ มาอยู่ ณ ที่นี้ ที่ร่วมอบรมในชื่อว่า “การฟังอย่างลึกซึ้ง” การรับรู้ในวันก่อนเรี่มการอบรมก็เข้าใจว่ามาเพื่อให้ได้เข้าใจวิธีการฟัง วัดระดับความอดทนและระดับความฝึกฝนของตนว่ามีทักษะในการฟังและเข้าใจผู้อื่นอย่างไร จากการอบรมที่ผ่านไปในแต่ละช่วงก็ได้เรียนรู้มากขึ้นว่า เรามารับการอบรม ได้สิ่งที่สำคัญ ได้เรียนรู้มากกว่าที่เข้าใจมากมาย ได้เรียนรู้ตนเอง อย่าว่าเรียนรู้ตัวเองเลย ได้พยายามเข้าใจตัวเองมากกว่า ไม่ใช่มาเพื่อเรียนรู้ผู้อื่นอย่างเดียวหรือเพื่อวัตถุประสงค์หลังอย่างที่เข้าใจในตอนแรก (ประเมินทักษะการฟังและการเข้าใจผู้อื่นของตนเอง-ขยายความเพิ่มเติม) แต่ได้พยายามหรือมีเวลาในการเห็นผู้อื่นแล้วสะท้อนมาสู่ตัวเอง ว่าเราเป็นอย่างนั้นบ้างหรือไม่ เราเสียสละอย่างพี่คนนั้นบ้างหรือไม่ เรามีความคิดความปรารถนาดีอย่างที่พี่ ๆ พูดถึงหรือไม่ เราเองอยู่ที่จุดใดในสิ่งหรือระดับที่ผู้อื่นอยู่ มีความรู้สึกว่าเรายังไม่อยู่ในระดับที่สำคัญมาก ๆ ถึงจะไม่ได้อยู่ระดับต่ำติดดิน แต่ก็ไม่ได้สูงส่งอะไร ยังมีอัตตาอยู่มาก ยังมีความเห็นแก่ตัว มีอคติ มีความไม่กว้างของจิตใจ . . . . . . . มีความอดทนที่ว่าสูงก็ยังไม่มาก การได้มาเรียนรู้ ได้รับฟังประสบการณ์ของเพื่อน ๆ ได้รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมอบรม ได้รับฟังเรื่องราวที่วิทยากรนำเสนอ ให้ผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก มันมีพลังอยากทำความดีมากขึ้น แต่ก็กลัวเหมือนกันเพราะเราเองก็มีประสบการณ์การเข้าอบรมทำนองนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่มากกว่า 2 หรือ 3 แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้พัฒนาเท่าไหร่ ยังเป็นคนเดิม ๆ เวลาผ่านไปก็กลับไปเป็นคนเดิม ๆ การพัฒนาการคิดอ่านยังไม่ได้แปรเป็นการปฏิบัติที่ยั่งยืน มันเป็นประเดี๋ยวประด๋าวหรือยังวนเวียนเป็นแค่ความคิดฝัน จะทำเป็นการปฏิบัติได้?
บันทึกโดย ผศ. ทพญ. สมพิศ คินทรักษ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
windows open to show the beauty of application of the philosophy in his
technical performance combined with up hands radiates from the inside and a