ประเพณีรัดเท้าของสตรีโบราณ
|
[131] |
เริ่ม -- -- ---- ถึง -- -- ----
ประเพณีจีนแต่โบราณมาเชื่อว่า สุดยอดความงามของสตรีคือ
การมีเท้าคู่เล็กดุจกลีบดอกบัว โดยการรัดเท้าจะส่งผลต่อความมั่งคั่ง
และสถานภาพในอนาคตของลูกสาว รวมถึงความสุขในชีวิต
ภายใต้ความเชื่อดังกล่าว สตรีจีนทั่วประเทศต้องทรมาน
อย่างแสนสาหัสมากว่าพันปี เพิ่งจะมาเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วนี้เอง
ที่มีการปลดแอกจากประเพณีสุดทรหดนี้
หลังรัฐบาลคอมมิวนิสต์ชุดแรกสั่งห้ามไม่ให้มีการรัดเท้า!!
สมัยก่อนการรัดเท้าถือเป็นข้อบังคับทางสังคม สำหรับสตรีฮั่นทั่วประเทศ
ไม่ว่ายากดีมีจน ผู้หญิงที่มีลูกสาว อายุ 4-5 ขวบ
จะต้องรัดเท้าให้ลูกสาว ไม่เช่นนั้น
จะถูกเยาะหยันที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของแม่
ยิ่งรัดให้ยิ่งเล็กก็ยิ่งดี
การรัดเท้าทำโดยใช้แถบผ้า ซึ่งทำจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ กว้างประมาณ 3
นิ้ว ยาว 7 นิ้ว แม่ของเด็กมักจะเป็นผู้ทอผ้าเอง
บางครั้งจะมีการย้อมครามสีน้ำเงิน เพราะเชื่อว่า
ป้องกันไม่ให้เท้าเน่าเปื่อย การเลือกวันมงคลเพื่อเริ่มรัดเท้า
จึงมีความสำคัญยิ่ง
การรัดเท้าจะทำให้นิ้วเท้าทั้งหมด ยกเว้นหัวแม่เท้าถูกพับลงไป
และรัดติดแน่นกับฝ่าเท้า จะเรียกว่า เท้าดอกบัวทองได้
ก็ต่อเมื่อเท้ามีขนาดเล็กแค่ 3 นิ้ว ถ้าเหลือ 4 นิ้ว
เรียกว่าดอกบัวเงิน และถ้าใหญ่เกิน 4 นิ้ว เรียกว่าดอกบัวเหล็ก
ประเพณีการรัดเท้าสร้างความเจ็บปวด และทรมานให้แก่สตรีจีน
มาแล้วกว่าพันปี มีสตรีจีนนับไม่ถ้วนต้องพิการ หรือเสียชีวิต
เพราะขั้นตอนการรัดเท้า เด็กหญิงที่เริ่มรัดเท้า จะต้องเจ็บปวดทรมาน
อยู่ตลอดช่วง 2 ปี แล้วค่อยบรรเทา
เมื่อเท้าที่รัดไว้เริ่มเข้ารูป การรัดเท้าเริ่มขึ้นในสมัยห้าราชวงศ์
ประวัติศาสตร์จีนบันทึกถึง ที่มาของประเพณีนี้ว่า จักรพรรดิลี่หยู
แห่งราชวงศ์ถัง ทรงหลงใหลนางสนมเย่าเหนียง ซึ่งเต้นระบำได้งดงาม
พระองค์มีบัญชาให้นางรัดเท้าด้วยแถบผ้า
เพื่อให้ดูเล็กลงคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว พอถึงศตวรรษที่ 11
การรัดเท้าจึงกลายเป็นค่านิยม
ที่แพร่หลายในหมู่สตรีชาววังและตระกูลขุนนาง
ก่อนที่จะระบาดไปยังชนชั้นล่าง โดยเท้าดอกบัวที่สวยงามจะต้องมีลักษณะ
7 ประการสำคัญ คือ บาง เล็ก เรียว โค้ง หอม นุ่ม และต้องเท่ากัน
ลูกคิดและตาชั่งจีน
|
[532] |
เริ่ม -- -- ---- ถึง -- -- ----
ลูกคิดวิวัฒนาการมาจากกระดานไม้ สำหรับนับเบี้ยโบราณเมื่อกว่า 2000
ปีก่อน เรียกว่า "จูซว่าน" เริ่มต้นมีแต่เพียงการบวกและลบเท่านั้น
ต่อมาปลายยุคถังจึงพัฒนามาเป็นการคูณและการหาร เมื่อแพร่หลายมาก ๆ
ก็มีคนคิดสูตรออกมาให้ท่อง คงคล้ายกับการท่องสูตรคูณ
กระดานคิดเลขพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับธุรกิจการค้าการขาย
จนถึงยุคหมิงจึงมีชื่อเรียกเป็นครั้งแรกว่า "กระดานลูกคิด" หรือ
"ซว่านผาน" แล้วจากนั้น บันทึกเรื่องราว
หรือภาพโบราณที่มีลูกคิดปรากฏให้เห็น ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออก
รางลูกคิดแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนบนมีลูกคิดแถวละ 2 ลูก
แต่ละลูกคิดเป็นเลข 5 ส่วนล่างมี 5 ลูก แต่ละลูกคิดเป็นเลข 1
แต่ก็มีบางแบบที่ทำต่างออกไป แถวบนมีลูกเดียว แถวล่างมี 4 หรือ 5 ลูก
แต่วิธีคิดใช้หลักอันเดียวกัน
การท่องสูตรลูกคิดไม่ใช่เรื่องยาก ใครท่องได้ก็ดีดลูกคิดได้
อีกทั้งกระดานลูกคิดก็พกพาได้สะดวก
การใช้ลูกคิดจึงแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วประเทศจีน
ร้านค้าในสมัยก่อนทุกร้าน ต้องมีลูกคิดไว้คิดราคาสินค้า
เหมือนที่คนสมัยนี้ต้องมีเครื่องคิดเลข แม้จนทุกวันนี้
ร้านค้าโบราณที่ถนัดจะใช้ลูกคิดแทนเครื่องคิดเลขก็ยังมี
มีผู้ตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่า
เมื่อเครื่องคิดเลขดิจิตอลที่แสนฉลาดและทันสมัยเกิดขึ้นแล้ว
การดีดลูกคิดแบบเก่าจะสู้อย่างไรไหว
เรื่องนี้ได้มีผู้พิสูจน์แล้วว่า
ในกรณีที่เป็นการบวกและการลบเลขจำนวนมาก ๆ
ลูกคิดจะดีดได้เร็วกว่าเครื่องคิดเลข
อย่างน้อยเครื่องคิดเลขต้องเสียเวลากับการกดเครื่องหมาย บวก
ลบตลอดเวลา ทำให้ความเร็วช้ากว่าลูกคิด
อีกทั้งโอกาสที่จะกดพลาดก็มีมากกว่า และว่าโดยความเป็นจริงแล้ว
ชีวิตประจำวันของคนเรา วนเวียนอยู่กับการบวกเลขและลบเลขมากถึงร้อยละ
80 คิดได้อย่างนี้แล้ว
ลูกคิดจึงควรจะมีที่ทางของมันที่จะอยู่ต่อไป
นอกจากนี้ จีนในฐานะเจ้าของประดิษฐกรรมอันเก่าแก่ ก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง
จีนได้คิดค้นเครื่องคิดเลขแบบใหม่ เรียกว่า "กระดานลูกคิดดิจิตอล"
คือท่อนบนใช้ระบบไมโครชิพ ส่วนท่อนล่างเป็นรางลูกคิด
เอาข้อดีของทั้งสองอย่างมาผสมกัน
ถ้าจะคูณหารเลขก็ใช้เครื่องคิดเลขดิจิตอล ถ้าจะบวกลบเลขก็ใช้ลูกคิดแทน
นับว่าเป็นการผสมผสานอารยธรรมโบราณของจีนเข้ากับวิทยาการสมัยใหม่ได้อย่าง
เหมาะเจาะ
มาถึงตรงนี้ ขอให้ท่านมีเวลาก็ลงมือฝึกดีดลูกคิดบ้าง
เป็นการบริหารนิ้วมืออย่างหนึ่ง และเป็นการฝึกสมองอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเสริมสุขภาพ
เมื่อรู้จัก "ดีดลูกคิดรางแก้ว" กันแล้ว
ต่อไปเราจะมาฝึกใช้ตาชั่งของจีน
ตาชั่งจีนภาษาจีนเรียกว่า "ก่านเชิ่ง" (Gan Cheng)
เป็นสิ่งประดิษฐ์อีกอย่างหนึ่งของจีน
มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงการชั่งน้ำหนักในประเทศจีนมานานตั้งแต่
ประมาณ 2,000 ปีก่อน
ตาชั่งจีนประกอบด้วย ด้ามหรือก้าน บนก้านมีมาตราส่วนบอกน้ำหนัก
ปลายข้างหนึ่ง
ของก้าน มีตะขอห้อยลงมาเอาไว้หิ้ววัตถุที่ต้องการชั่ง
ปลายอีกข้างหนึ่งมีลูกตุ้มน้ำหนักเลื่อนได้ห้อยอยู่กับเชือก
บนก้านมีเชือกอีก 2-3 เส้นเอาไว้หิ้ว
ขณะชั่ง คนชั่งจะหิ้วเชือกเส้นใดเส้นหนึ่งขึ้นมา
แล้วเลื่อนลูกตุ้มน้ำหนักไปทางซ้ายหรือขวา
จนกว่าจะถึงจุดสมดุลที่ก้านไม่เอียง
แล้วจึงอ่านค่าน้ำหนักที่เขียนไว้บนก้านตาชั่ง
โดยหลักการอันเดียวกันนี้ ต่อมาพัฒนาเป็นตาชั่งที่ใช้จาน 2 ใบ
ใบหนึ่งวางของที่จะชั่ง อีกใบหนึ่งวางลูกน้ำหนักโลหะขนาดต่าง ๆ
จนน้ำหนักบนจานทั้งสองเสมอกัน ตาชั่งแบบนี้หิ้วไม่ได้
และไม่สะดวกในการพกพา
ขนาดของตาชั่งจีนแตกต่างกัน สุดแล้วแต่ว่าต้องการชั่งของหนักขนาดไหน
ตาชั่งใหญ่มาก ๆ สามารถชั่งข้าวสารเป็นกระสอบหรือหมูเป็นตัว ๆ ได้
ตาชั่งขนาดเล็กความยาวของก้านไม่ถึงฟุต
มีไว้ชั่งสิ่งของน้ำหนักไม่ถึงตำลึง เช่น เงิน ทอง ยาสมุนไพร
เป็นต้น
คู่กับการประดิษฐ์เครื่องชั่ง
จีนก็ได้สร้างมาตราชั่งน้ำหนักของตนเองขึ้นมา
ในสมัยของจักรพรรดิฉินสื่อหวาง (จิ๋นซีฮ่องเต้)
ได้มีการกำหนดมาตราชั่งน้ำหนักให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
ในยุคถังก็มีการปรับปรุงใหม่อีกครั้ง และใช้กันเรื่อยมา
การซื้อขายสินค้าในประเทศจีนทุกวันนี้
ชั่งกันด้วยมาตราชั่งน้ำหนักแบบจีน ไม่นิยมใช้มาตราสากลเป็นกิโลกรัม
หรือปอนด์
มาตราชั่งน้ำหนักของจีน คิดกันเป็น "จิน (Jin)" และ "เหลี่ยง (Liang)"
เป็นต้น
1 จิน เท่ากับครึ่งกิโลกรัม หรือ 500 กรัม ทางประเทศไทยมักเรียก "จิน"
ว่า "ชั่ง" แต่จริง ๆ แล้วน้ำหนักไม่เท่า 1 ชั่งของไทย)
1 เหลี่ยง เท่ากับ 1 ส่วน 10 ของ 1 จิน เทียบได้กับ "ตำลึง"
แต่น้ำหนักก็ไม่เท่าตำลึงของไทย
ไม่มีความเห็น