มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
การวัดและประเมินผลถือเป็นขั้นตอนสำคัญของกระบวนการจัดการศึกษา
ที่ปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นระบบมีอิทธิพลสูงสุด ต่อการดำเนินการใดๆ
ของผู้สอนและนักเรียน ตัวอย่างเช่น
ครูมุ่งสอนเฉพาะเนื้อหาและวิธีการที่จะทำให้ผู้เรียนผ่านการทดสอบระดับชาติ
นักเรียนมุ่งเรียนพิเศษเสริมเพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้ผ่าน
โดยสภาพการณ์เช่นนี้ กรอบแนวคิดของการศึกษาก็เหลือแต่เพียง
“การทำข้อสอบให้ผ่าน” เพื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยให้ได้
คุณค่าของการพัฒนาความงอกงามในจิตใจ
การสร้างสันติสุขแก่ตนเองและผู้อื่น
การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน หรือประเด็นสำคัญอื่นๆ
จะกลายเป็นประเด็นรอง หรือที่รุนแรงที่สุดคือ
กลายเป็นประเด็นที่ไม่มีเยาวชนคนใดสนใจอีก
จึงไม่แปลกใจที่มีผู้เห็นว่า การประเมินด้วยการทดสอบนั้น
ไม่สามารถที่จะตัดสินหรือวินิจฉัยผลผลิต (outcomes)
จากกระบวนการทางการศึกษาได้ครบถ้วน
อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะบ่งชี้ทักษะหรือความสามารถของผู้เรียน
รวมถึงไม่สามารถใช้ในการปรับปรุงคุณภาพใดๆ ทางการศึกษาได้
เพราะผลจากการประเมินนำมาสู่ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้เรียนที่คลาดเคลื่อน
ผิดพลาด
และไม่เป็นที่น่าสนใจในระยะยาวทั้งต่อผู้เรียนและสังคมเอง
(Raven, 1991: 13)
คำถามที่น่าสนใจคือ การวัดประเมินผลด้วยการทดสอบ (tests)
เป็นการประเมินที่มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่
และควรจะใช้วิธีการใดจึงจะดีกว่า เมื่อพิจารณาสภาพทั่วไปพบว่า
การประเมินด้วยการทดสอบได้รับความนิยมสูง แท้ที่จริงแล้ว
การใช้แบบทดสอบหรือการทดสอบเกิดจากภาพลวงตาประการหนึ่งที่ว่า
หากโรงเรียนใดที่ผู้เรียนมีคะแนนจากแบบสอบในระดับสูง
ก็ย่อมแสดงว่า หลักสูตรและผู้สอนในโรงเรียนนั้นมีประสิทธิภาพ
เพื่อเป็นการยืนยันถึงประสิทธิภาพของโรงเรียน
หลักสูตรหรือผู้สอน
จึงนิยมให้ผู้เรียนได้รับการทดสอบเพื่อให้เป็นหลักฐาน
โดยนัยนี้สามารถตีความ ได้ว่า
การวัดประเมินผลด้วยการสอบมิได้มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาผู้เรียน
แต่เป็นการดำเนินการเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินการของฝ่ายอื่นๆ
มากกว่าที่จะเป็นการประเมินเพื่อให้ผู้เรียน สามารถประเมินตนเอง
รู้ข้อเด่นที่ควรพัฒนา และรู้ข้อด้อยที่ต้องศึกษาและปรับปรุง
นอกจากนี้การใช้การทดสอบยังได้รับการวิจารณ์ด้วยว่า
จะทำให้เกิดภาวการณ์ลดทอนหลักสูตรให้แคบลง
เนื่องจากครูจะจำกัดเนื้อหาที่สอนเฉพาะที่สอดคล้องกับแบบทดสอบเท่านั้น
(Arends, 2009: 221 ) เป็นเหตุให้ครู
ลดการจัดประสบการณ์อื่นๆ ที่ผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้
โดยหันมาใช้วิธีบอกความรู้ที่ใช้สำหรับทำข้อสอบ
ซึ่งง่ายและสะดวกกว่าแทน ผลก็คือผู้เรียนเกิดค่านิยมว่า
การจัดประสบการณ์ในด้านอื่นๆ
ที่อาจจะไม่ปรากฏในแบบทดสอบเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระและไม่จำเป็น
ดังจะเห็นได้จากในชั้นเรียน
กระผมในฐานะผู้สอนมักจะได้ยินคำถามหนึ่งเสมอว่า
“เนื้อหานี้จะออกสอบหรือไม่” คำถามดังกล่าวแม้จะมอง
ได้ว่า ผู้เรียนเกิดความสนใจ และก็น่าขบคิดต่อไปว่า
ผู้เรียนมิได้สนใจในประสบการณ์เหล่านั้นมากไปกว่าการทดสอบหลังเรียนที่จะเกิดขึ้น
ในที่นี้กระผมจึงสรุปความคิดเห็นต่อการวัดประเมินผลด้วยการทดสอบว่า
การประเมินด้วยการทดสอบเพียงอย่างเดียวนั้น
เป็นการประเมินที่ยังขาดประสิทธิภาพ อยู่มาก
ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดค่านิยมต่อความรู้และการศึกษาที่แท้จริง
ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาในทุกระดับ
เหตุที่กระผมสรุปว่าการประเมินด้วยการทดสอบเพียงอย่างเดียว
เป็นการประเมินที่ขาดประสิทธิภาพ
เพราะการทดสอบเป็นการละเลยศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์
ผู้ที่ทำแบบทดสอบซึ่งวัดเฉพาะความสามารถในด้านใดด้านหนึ่ง
(ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็ไม่อาจตอบได้ว่าวัดได้จริง หรือแม่นยำเพียงใด)
แล้วไม่ผ่าน มิได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นมีศักยภาพอ่อนด้อย
หรือมีความเป็นมนุษย์ที่ด้อยคุณค่ากว่าผู้อื่น ในประเด็นนี้
Kindsvatter, Wilen และ Ishler (1996: 336)
ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจสรุปได้ว่า
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของการวัดประเมินผลในชั้นเรียน
ก็คือ ธรรมชาติหรือความซับซ้อนของผู้เรียนแต่ละคนนั่นเอง
เพราะผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความ แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้
กระผมจึงเห็นว่าหากผู้เรียนต้องได้รับการประเมินด้วยวิธีการเดียวกันโดยสามัญสำนึกก็ถือว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อพวกเขา
แล้ววิธีการวัดและประเมินที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร
ในที่นี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวคิดของ Arends (2009: 239)
ที่กล่าวถึงการวัดประเมินแบบประเพณีนิยมด้วยการใช้แบบทดสอบว่า
มีข้อจำกัดในการวัดความสามารถในการคิดระดับสูง ทักษะการแก้ปัญหา
และสมรรถนะในด้านอื่นๆ ของความเป็นประชากร
ดังนั้นเราควรที่จะปรับเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการประเมินมาเน้นที่
การประเมินการปฏิบัติ (performance assessment)
ที่หมายถึงการเมินที่ให้ผู้เรียนสาธิตหรือแสดงความสามารถในด้านที่ต้องการประเมินให้ชมในระหว่างการเรียนการสอน
เช่น การให้ผู้เรียนเขียนเรียงความ ทำการทดลอง
แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ เล่นดนตรี วาดภาพ ฯลฯ เป็นต้น
จากนั้นจึงพัฒนามาใช้การประเมินตามสภาพจริง (authentic
assessment)
ซึ่งหมายถึงการประเมินที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้ที่ได้ศึกษา
มาใช้ในบริบทหรือสถานการณ์ในชีวิตจริง (real-life situation) เช่น
การให้ผู้เรียนจัดทำโครงงานตามความสนใจโดยประยุกต์ความรู้จากที่เรียน
การจัดแสดงละคร นิทรรศการ หรือกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ศึกษา
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
การใช้การประเมินทั้ง
การประเมินการปฏิบัติและการประเมินตามสภาพจริง
จะต้องคำนึงอยู่บนหลักการเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล กล่าวคือ
ความสามารถในการปฏิบัติ หรือการประยุกต์ของแต่ละคนย่อมต่างกัน
ความท้าทายจึงอยู่ที่ผู้สอนจะกำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน
เพื่อใช้เป็นมาตรวัดหรือเกณฑ์สำหรับเปรียบเทียบ
ซึ่งจะทำให้ผู้สอนและผู้เรียนทราบถึงสิ่งที่ตนเองจะต้องพัฒนาต่อไป
________________________________________
รายการอ้างอิง
Arends, R. I. 2009. Learning to Teach.
8th ed. New York: McGraw-Hill.
Kindsvatter, R., Wilen, W. and Ishler, M. 1996.
Dynamics of effective teaching. 3rd ed.
New York: Longman.
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปดำเนินการใดๆ ควรทำตามหลักวิชาการ
จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์