ติดต่อแต่ไม่ได้สื่อสาร คนไทยส่วนมากได้แต่ส่งต่อ Forward อีแมล แต่ไม่ยอมที่จะเสียเวลาแม้แต่จะเขียนข้อความแม้แต่คำเดียว คนรับอยากจะรู้เรื่องราวที่เกี่ยวขึ้นกับผู้ส่งมากกว่าข้อความในอีแมล คุณว่าจริงหรือเปล่า
อนุทินข้างบนนี้เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
วันนี้ได้รับอีแมลจากเพื่อนร่วมทำงานซึ่งลาออกจากงานเมื่อเดือนเมษายน เธอคนนี้เป็นคนที่แนะนำผมให้ซื้อกล้องดีๆมาใช้ เพราะเป็นนักถ่ายรูปด้วยกัน ได้รับจดหมายแล้วดีใจ เพราะความคิดที่ผมเคยเขียนมา เป็นความจริงสำหรับผม ถ้าเธอเพียงแต่ forward email มาให้ ผมก็คงจะรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร ข้างล่างเป็นข้อความของอีแมลเธอครับ
"ติดต่อแต่ไม่ได้สื่อสาร (Contact without Communication)" เป็นสำนวนที่ประทับใจ ตั้งแต่ที่ได้อ่านในบันทึกของคุณคนบ้านไกลครั้งก่อนๆ "I realized that I didn't even know what part of Thailand you are from." ประโยคหนึ่งใน e-mail ของ Judy คนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานส่งถึง "คนบ้านไกล" ทำให้นึกถึงความแตกต่างในการติดต่อสื่อสารของคนเมืองและคนชนบท และของชาวตะวันตกและชาวตะวันออก (The Westerners/Easterners)
ชาวชนบทในหมู่บ้านหนึ่งๆ จะรู้จักกันหมด ต่างจากชาวเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกทม.ที่คนพักอาศัยอยู่ในห้องติดกันแท้ๆ แต่ไม่เคยพูดจาทักทายกัน มี "นิทานก้อม (เรื่องเล่าตลกๆ)" ที่ศึกษานิเทศก์หนุ่มจากอ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งไปเรียนปริญญาตรีที่ม.ศรีนครินทรวิโรฒ เล่าให้พี่และเพื่อนๆ ฟังในปี 2517 (ปีแรกที่พี่ไปเรียนปริญญาโท) เรื่องมีอยู่ว่า...ทิดบุญมี ชาวเสลภูมิ (คำว่าทิดมาจากคำว่า "บัณฑิต" หมายถึงผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว) เดินทางเข้าไปหางานทำที่กทม. เมื่อลงจากรถที่หมอชิตต้องการจะไปพบทิดจันทีที่เข้ากทม.มาทำงานก่อนหลายเดือนแล้ว ก็เลยไปเที่ยวเดินถามใครต่อใครว่า "รู้จักทิดจันทีบ่ฮึ...รู้จักทิดจันทีบ่ฮึ.......แปลว่ารู้จักทิดจันทีไหม" ซึ่งก็น่าเวทนาทิดบุญมีที่ทุกครั้งที่ไต่ถามจะได้รับการสื่อสารกลับมาเพียงแค่ "การส่ายหน้าโดยปราศจากวาจาใดๆ" การที่ทิดบุญมีเข้าไปไต่ถามก็ด้วยเข้าใจว่า ชาวกทม.จะเหมือนคนในหมู่บ้านหนองหมาว้อของตน ที่ทุกคนในวัยผู้ใหญ่จะรู้จักกันหมด คือ รู้จักหน้าตา ชื่อเสียงเรียงนาม และรู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ที่ไหน
และตอนที่พี่เดินทางไปพบ Dr. Leonard King ที่ ECU, Perth, Western Australia (ปี 2001) วันหนึ่งพี่ไปไม่ทันรถบัสที่วิ่งผ่านหน้า Campus ไม่อยากเสียเวลารอคันต่อไปที่จะมาถึงใน 30 นาทีต่อไป ก็เลยขึ้นรถคันที่วิ่งผ่านด้านหลัง Campus ซึ่งไม่ต้องรอเพราะมาถึงพอดี พี่เคยใช้บริการรถที่ผ่านด้านหลังโดยไปกับเพื่อนเพียงครั้งเดียว ก็เลยจำที่ลงผิดไปทำให้ลงผิดที่ และหนักเข้าไปอีกที่สอบถามคนที่ป้ายจอดรถได้ความว่า รถคันต่อไปจะมาถึงในอีกชั่วโมงข้างหน้า พี่ก็เลยเข้าไปถามคนที่กำลังทำงานซ่อมถนนว่ารู้จัก Campus ที่พี่จะไปไหม เขาบอกรู้จัก พี่ถามว่าไกลไหม เดินไปได้ไหม เขาบอกว่า ไม่ไกล เดินไปได้ พี่ถามว่าใช้เวลาเท่าไหร่ เขาอบว่า 15 นาที (แต่พี่คงขาสั้นและไม่คุ้นเส้นทางจึงใช้เวลาชั่วโมงเศษ) เวลาบอกเส้นทางในเอเชียก็จะมีเฉพาะคำอธิบายและใช้มือชี้บอกว่าไปทางโน้นทางนี้ แต่ชาวตะวันตกเขาจะใช้แผนเป็นอุกรณ์ประกอบการสื่อสาร อย่างที่พี่ถามเขาว่า Campus อยู่ทางไหน เดินไปยังไงเขาก็ไปหยิบแผนที่จากรถแล้วอธิบายให้ฟังว่า ขณะนี้ คุณอยู่ตรงนี้ Campus อยู่ตรงนี้ ให้คุณเดินไปตามถนนเส้นนี้พอถึง..ให้เลี้ยวซ้าย...ซึ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้มากกว่า