มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
นักหลักสูตรและการสอนมีประเด็นเชิงปรัชญาให้ถกเถียงอย่างไม่สิ้นสุดว่า
แท้จริงแล้วเราควรพัฒนาหลักสูตรการศึกษาไปเพื่ออะไร น่าสนใจว่า
ข้อยุติของการถกเถียงส่วนใหญ่
ไม่ใช่การให้ผู้เรียนมีความรู้ในเชิงวิชาการ (academic knowledge)
หรือความรู้สำหรับการประกอบอาชีพ
แต่กลับเป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
คือ มีใจสูง มีเมตตาต่อเพื่อมนุษย์และโลก
ด้วยการเห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในเชิงปรัชญาแล้ว
การศึกษาที่ให้แก่บุคคลย่อมมีคุณค่ามากกว่าเพียงเพื่อให้บุคคลนั้นมีงานทำ
ในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดจิตสำนึกในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม
ผ่านกระบวนการเรียนรู้และการสอนที่เรียกว่า
การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม (service-learning)
ซึ่งมีผู้ให้ความหมายไว้ว่า
เป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการให้บริการแก่สาธารณะ
ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นและ
ความต้องการของชุมชน (Taylor และ Ballengee-Morris, 2004)
จะเห็นได้ว่า เป้าหมายของการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมนั้น
เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนและสังคม กล่าวคือ
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถในเชิงวิชาการ
อารมณ์และสังคมควบคู่กันไปด้วย
ขณะที่ชุมชนหรือสังคมก็จะได้รับประโยชน์จากการที่ผู้เรียนเข้าไปให้บริการในลักษณะต่างๆ
โดยเฉพาะกิจกรรมอาสาสมัคร (volunteer) ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา
กิจกรรมอาสาสมัครหรือการให้บริการต่อสังคมโดยไม่รับค่าตอบแทนนั้น
ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเสริมเท่านั้น
แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรในรูปแบบที่เป็นวิชาเลือกด้วย
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกา
ได้รายงานว่าในปี ค.ศ. 1999
มีโรงเรียนของรัฐกว่า 83%
ที่มีนักเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้บริการชุมชน และในปี ค.ศ.
2005
สำรวจพบว่าโดยส่วนใหญ่นักเรียนมักปฏิบัติกิจกรรมเพื่อสังคมในรายวิชาสังคมศึกษา
(12%) วิทยาศาสตร์ (10%) และภาษาอังกฤษ (7%) (the
National Center for Education Statistics, 2010)
ประเด็นสำคัญที่นักหลักสูตรและการสอนของไทยต้องขบคิดต่อไปก็คือ
หลักสูตรสถานศึกษาของประเทศได้นำแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมมาเป็นฐานในการออกแบบหลักสูตรแล้วหรือยัง
และหากทำแล้วอยู่ในระดับใด
ที่จริงแล้วแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ในการศึกษาของไทยแต่เดิมได้ปฏิบัติกันมา
เราคงจะเคยทราบว่า
ครูพระสงฆ์สมัยโบราณสอนให้ศิษย์มีความรู้และทักษะวิชาช่างด้วยการพาศิษย์ไปซ่อมแซมหรือสร้างศาสนสถาน
แม่บ้านแม่เรือนสมัยก่อนทำอาหารได้หลายชนิด
เพราะไปเรียนรู้วิธีการประกอบอาหารจากแม่ครัวใหญ่ในงานวัดหรือ
งานบุญต่างๆ แพทย์แผนไทยเรียนรู้กรรมวิธีรักษาโรค
ก็ด้วยการตามครูแพทย์ไปให้บริการแก่ชาวบ้าน ในหลายๆ
แห่งโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
การเรียนรู้สมัยก่อนจึงไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อประโยชน์เฉพาะตน
แต่เป็นการเรียนรู้ที่สังคมจะได้รับประโยชน์จากการเรียนของเราด้วย
การศึกษาในยุคก่อนจึงไม่เคยทิ้งสังคมไปเช่นในปัจจุบัน
ดังที่เรามักจะได้ยินคำถามทั้งจากครูและผู้เรียนของเราเสมอๆ ว่า
“เรียนแล้วจะนำไปทำอะไรก็ไม่รู้”
“เรียนแล้วไม่เห็นว่าสังคมจะได้ประโยชน์อะไร”
และในที่สุดเราก็สรุปว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็เรียนให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาช่วยสังคม”
คำถามที่เราต้องคิดต่อก็คือ
ก็แล้วเหตุใดเราไม่ทำให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นเรื่องที่สังคมได้ประโยชน์ทุกขณะ
และเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ต้องสอน แต่เกิดจากการที่ผู้เรียน
“เห็นปัญหา” และ “เกิดเมตตา” ที่จะช่วย
ผู้ที่มีใจเมตตาให้แม้แต่คนที่อาจะไม่รู้จักเช่นนี้
จะไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์หรือผู้เรียนที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจากการศึกษาหรอกหรือ
สถานศึกษาหลายแห่งสรุปไปว่า การเรียนการสอนแบบโครงงาน
เป็นวิธีการเรียนรู้ด้วย
การบริการสังคม ข้อสรุปดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องนัก
เพราะมิติของการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรมสร้างความรู้ตามความสนใจของผู้เรียนเท่านั้น
เพราะสิ่งที่ผู้เรียนสนใจอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือช่วยให้ปัญหาสังคมหรือชุมชนของเขาคลี่คลายไปก็เป็นได้
เราอาจจะเคยเห็นนักเรียนทำโครงงานประดิษฐ์หุ่นยนต์
ในขณะที่ชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่มีปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากอุตสาหกรรม
การให้บริการต่อสังคมจึงต้องมองปัญหาใกล้ตัว
หรือเป็นเรื่องที่สังคมเรียกร้องขอความช่วยเหลือก่อน
เป็นหลัก ดังนั้น
กิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีนี้อาจอยู่ในรูปแบบอื่นๆ นอกจากโครงงาน
เช่น การเป็นอาสาสมัครในองค์กรศาสนา
องค์กรเยาวชนหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
หรือการฝึกงานในหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่ให้บริการต่อสาธารณะ
เป็นต้น
จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเราจึงเห็นเยาวชนวัยรุ่นชาวต่างประเทศ
เข้ามาทำงานอาสาสมัครพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นทุรกันดาร
ในขณะที่นักเรียนไทยอายุเท่ากันในท้องถิ่นนั้น
อาจจะตั้งใจท่องตำรับตำราอยู่ให้ห้องเรียนสี่เหลี่ยม
โดยไม่เคยเหลียวมาสนใจเลยว่า
ฝรั่งหัวแดงพวกนี้มาทำอะไรกัน
แนวทางเริ่มต้นสู่การใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม
คือการสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยในห้องเรียน
กระตุ้นให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหาหรือสิ่งที่ชุมชนต้องการให้พวกเขาไปช่วยเหลือ
หรือสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของเพื่อนมนุษย์ในชุมชนดีขึ้น
จากนั้นให้อิสระแก่ผู้เรียนเพื่อให้พวกเขาแสดงความรับผิดชอบในการจัดการทุกขั้นตอนในการเลือกหรือออกแบบกิจกรรม
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมาย
ระยะเวลาในการดำเนินการ การจัดเตรียมอุปกรณ์
การลงมือปฏิบัติ
การประเมินการให้บริการและการสะท้อนความคิดหลังการปฏิบัติงาน
(Lambert และคณะ, 2002)
อย่างไรก็ตาม
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึง
ที่จะทำให้การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคมมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือ
กิจกรรมที่นักเรียนเลือกปฏิบัติควรเอื้อต่อการนำความรู้ที่เรียนมาใช้ประโยชน์
ตัวอย่างเช่น
นักเรียนอาจจะเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในการทำความสะอาดโรงเรียน
ซึ่งนักเรียนก็จะต้องแสดงให้เห็นวิธีการนำความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาใช้
เช่น การทำกราฟหรือแผนภูมิแสดงปริมาณขณะ
ประเภทขยะหรือการบำรุงรักษาระบบนิเวศวิทยาในโรงเรียน เป็นต้น
ดังที่กล่าวมานี้
การเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อสังคมจึงน่าจะเป็นก้าวต่อไปของการพัฒนาหลักสูตร
เพราะเป็นหนทางตรงที่ทำให้ผู้เรียนของเราพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้
ลองเหลียวกลับไปมองหลักสูตรการศึกษาที่โรงเรียนของท่านก็ได้ว่า
มีสักกี่ชั่วโมงที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการบริการแก่สังคม
และมีสักกี่ชั่วโมงที่พัฒนาผู้เรียนไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์...
______________________________
รายการอ้างอิง
Corporation for National and Community Service. 2010.
Youth helping America: The role of social
institutions in teen
volunteering [Online]. Available from:
http://www.nationalservice.gov [2010,
April 18]
Lambert, L., Walker, D., Zimmerman, D., Cooper, J., Lambert, M.,
Gardner, M., & Szabo, M. 2002. The
constructivist leader. 2nd ed. New York: Teacher’s
College Press.
Taylor, P. and Ballengee-Morris, C. 2004. Service-learning: A
language of we. Art Education, 57(5), pp.
6-12.
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปเผยแพร่หรือดำเนินการใดๆ
ควรทำตามหลักวิชาการ จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์