สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับครอบครัว อ.แหววมีข้อสังเกตดังนี้
ในประการแรก กฎหมายและนโยบายของรัฐไทยในเรื่องสิทธิในการจดทะเบียนสมรสของรัฐไทยมีความชัดเจนมาตั้งแต่ ฎ.๗๒๐/๒๕๐๕ ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อมานั้น มิใช่ปัญหาของความไม่มีกฎหมาย แต่เป็นปัญหาอื่น ที่สำคัญก็คือ (๑.๑.) ปัญหาความไม่อาจพิสูจน์ทราบตัวบุคคลของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เมื่อแนวคิดเรื่องการบันทึกคนไร้รัฐในทะเบียนประวัติมีความชัดเจนและปฏิบัติได้จริง ปัญหานี้ก็น่าจะกล่าวอ้างมิได้โดยอำเภอหรือเขตหรือเทศบาลของประเทศที่เกี่ยวข้อง และ (๑.๒) ปัญหาความไม่สามารถออกหนังสือรับรองเงื่อนไขการสมรสของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีนายอำเภอนาแห้ว ก็เป็นความชัดเจนว่า รัฐไทยมีหน้าที่รับรองความเป็นโสดหรือเงื่อนไขสมรสอื่นของคนไร้สัญชาติในทะเบียนราษฎรไทย แต่ในกรณีที่เป็นคนสัญชาติในทะเบียนราษฎรของรัฐต่างประเทศนั้น การออกหนังสือรับรองความเป็นโสดคงเป็นอำนาจของรัฐเจ้าของตัวบุคคลของบุคคลนั้นๆ แต่ประเด็นแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วนั้น มีปัญหาน่าคิดที่ว่า เขามีชื่อทั้งในทะเบียนราษฎรไทยและพม่า ดังนั้น รัฐไทยก็ยังเป็น Personal State อยู่ดี
ในประการที่สอง กรณีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายต่างประเทศในสถานทูตหรือกงสุลของรัฐต่างประเทศในประเทศไทยมีความจำเป็นมากขึ้น เราคงต้องมี test case ต่อไป อาจจะได้ประสบการณ์ในกรณีของคุณทิพย์และคุณคูโดะ
ในประการที่สาม อ.แหววคิดว่า การที่ฟ้าส่ง อ.วีนัสไปรับผิดชอบงานทะเบียนครอบครัว ก็อาจเป็นการมอบภารกิจที่จะให้ทำให้กฎหมายและนโยบายในเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น ดังนั้น งานวิจัยถึงสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำและควรทำจึงเป็นงานที่มหาวิทยาลัยควรต้องรีบทำ เพื่อเป็น “ห้องครัว” ให้แก่กรมการปกครองซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ในการทำหน้าที่รักษาการตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
ในประการที่สี่ การที่ฟ้าส่ง อ.วีนัสแห่งกรมการปกครองและคุณรัฐแห่งกรมการกงสุลได้มาเจอกัน และร่วมงานกัน ก็คงทำให้งานรับรองสิทธิในรวมกันเป็นครอบครัวของมนุษย์ (Recognition of Right to Family Union) ตามกฎหมายระหว่างประเทศเป็นไปอย่างดีในความรับผิดชอบของรัฐไทย ขอให้กำลังใจคุณทั้งสอง และขอเป็นกำลังสนับสนุนทั้งกำลังใจและกำลังสมอง รวมถึงกำลังกายด้วย หากทำได้ “ห้องครัวแห่งความรู้ในมหาวิทยาลัย” จะต้องมีความพร้อมที่จะให้คำตอบแก่หน่วยงานหลักทั้งสองในการจัดการประชากร
ในประการที่ห้า และฟ้าคงส่งคุณเพ้ง ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และคุณเชอรี่ นิติศาสตร์บัณฑิตที่อยากเชี่ยวชาญในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการประชากร ตลอดจน อ.เตือน รัฐศาสตร์บัณฑิตที่ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญในงานจัดการประชากร มาเจอกันและ มาทำ test case หลายครั้งหลายหนด้วยกัน หลายภารกิจเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่ยังมิได้สรุปบทเรียน บางภารกิจยังดำเนินอยู่ต่อไป อ.แหววจึงขอแนะนำให้ท่านทั้งสามลองทบทวนประสบการณ์จากงานช่วยเหลือประชาชนที่กำลังดำเนินอยู่ ๔ เรื่องดังต่อไปนี้ (๑) กรณีการรับน้องสมศักดิ์เยาวชนไร้สัญชาติใน ท.ร.๓๘ ก เป็นบุตรบุญธรรมโดยคุณจิวคนสัญชาติต่างประเทศ (๒) กรณีการรับรองน้องเบนเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาสัญชาติเยอรมันและมารดาไร้สัญชาติใน ท.ร.๓๘/๑ (๓) การจดทะเบียนสมรสระหว่างคุณนิ่มคนสัญชาติไทยและคุณยอดรักแรงงานที่ผ่านการพิสูจน์พม่า และ (๔) กรณีการจดทะเบียนสมรสระหว่างคุณคูโดะคนสัญชาติญี่ปุ่น และคุณทิพย์ คนไร้สัญชาติใน ท.ร.๓๘ ก.
ในประการที่หก หากคุณหมอนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นความสำคัญในการใช้องค์ความรู้เพื่อกำหนดแนวคิดและวิธีการทำงาน ก็ขอให้โปรดผลักดันการถอดประสบการณ์ทั้ง ๔ กรณีที่กล่าวมาหรืออื่นๆ เพื่อที่การเรียนรู้ร่วมกันจะได้เกิดขึ้นในฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตาม การระดมความรู้ระหว่างกันจะสำเร็จได้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของหลายฝ่าย
อ.แหววจึงได้อีเมลล์เท่าที่นึกออกของใครหลายคนเข้ามา หวังจะได้รับการสนองตอบเป็นวงเสวนานะคะ และนำข้อคิดนี้มาเผยแพร่ในทั้ง facebook.com และ gotoknow.org อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความหวังที่จะเห็นกองทัพแห่งความรู้เกิดขึ้นในเรื่องนี้
ถึงเวลาแล้วมังที่จะพูดถึงสิทธิในรวมกันเป็นครอบครัวของมนุษย์ (Recognition of Right to Family Union) ตามกฎหมายระหว่างประเทศในประเทศไทย
ไม่มีความเห็น