๗.๑. มหาปรินิพพานสูตร : สูตรว่าด้วยแนวคิดการเมืองการปกครองเชิงพุทธ [1]
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้นพระราชาแห่งแคว้นมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร มีพระประสงค์จะเสด็จไปปราบแคว้นวัชชี รับสั่งว่า เราจะโค่นล่มพวกวัชชีผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ให้พินาศย่อยยับไป จึงตรัสสั่งวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ ให้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามพระพุทธเจ้าถึงพระสุขภาพ
สมัยนั้นพระอานนทเถระยืนถวายงานพัดพระพุทธเจ้าอยู่ ณ เบื้องพระปฤษฏางค์ พระพุทธเจ้าตรัสถึงเจ้าวัชชีที่ประพฤติอปริหานิยธรรม ๗ ประการ
ลำดับนั้น วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ กราบทูลว่าข้าแต่ท่านพระโคดม พวกเจ้าวัชชีมีอปริหานิยธรรม แม้เพียงข้อเดียวก็พึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มีความเสื่อมเลย ไม่จำต้องกล่าวว่ามีครบทั้ง ๗ ประการ ข้าแต่ท่านพระโคดม พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ไม่ควรทำสงครามกับพวกเจ้าวัชชี นอกจากจะใช้วิธีปรองดองทางการทูต หรือไม่ก็ให้แตกความสามัคคีกัน
หลังจากวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ กราบทูลลาไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระอานนท์ให้ประชุมสงฆ์ที่เข้ามาพักในกรุงราชคฤห์ ณ หอฉัน แล้วตรัสอปริหานิยธรรม ๖ แผน อันได้แก่
-อปริหานิยธรรม ๗ ประการแผน ๑
-อปริหานิยธรรม ๗ ประการแผน ๒
-อปริหานิยธรรม ๗ ประการแผน ๓
-อปริหานิยธรรม ๗ ประการแผน ๔
-อปริหานิยธรรม ๗ ประการแผน ๕
-อปริหานิยธรรม ๖ ประการแผน ๖
หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงโทษของคนทุศีล ๕ ประการ, อานิสงส์ของคนมีศีล ๕ ประการ, การสร้างเมืองปาฏลีบุตร, เรื่องอริยสัจจ์ ๔, ความไม่หวนกลับมาและจะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า, หลักธรรมที่มีชื่อว่าแว่นธรรม (ธรรมเป็นเครื่องมือให้อริยสาวกมีไว้), เรื่องนางอัมพปาลีคณิกา, เรื่องทรงเข้าจำพรรษาในเวฬุวคาม, เรื่องว่าด้วยนิมิตโอภาส, มารกราบทูลให้ทรงปรินิพพาน, ทรงปลงพระชนมายุสังขาร, เหตุให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ๘ ประการ, บริษัท ๘ จำพวก, อภิภายตนะ (เหตุครอบงำเหตุที่มีอิทธิพล) ๘ ประการ, วิโมกข์ ๘ ประการ, ทรงเล่าเรื่องมาร, พระอานนท์กราบทูลอาราธนา, ทรงแสดงอานุภาพของอิทธิบาท ๔, สังเวชนียธรรม, มหาปเทส ๕ ประการ, นายจุนทกับมารบุตร, ปุกกุสะมัลลบุตร, เสด็จไปยังควงไม้สาละทั้งคู่, พระอุปวาณเถระ, สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล, คำถามพระอานนท์, ถูปารหบุคคล, มหาสุทัสสนสูตร, เรื่องสุภัททปริพาชก, ปัจฉิมวาจาของพระตถาคต หลังจากนั้น เป็นเหตุการณ์ของพุทธปรินิพพาน, การบูชาพระพุทธสรีระ, เรื่องของ
พระมหากัสสปเถระ, การถวายพระเพลิงพุทธสรีระ, การแจกพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า, การบูชาพระบรมธาตุและสร้างพระสถูป.
๗.๒. แนวคิดการเมืองในมหาปรินิพพานสูตร
แนวคิดทางการเมืองในมหาปรินิพพานสูตรนี้ แม้พระพุทธองค์จะไม่ได้ตรัสหลักการทำสงครามเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไหนก็ตาม พระองค์ทรงปรารภความสามัคคีของเจ้าวัชชีที่มีอปริยหานิยธรรม ๗ ประการ แต่วัสสการพราหมณ์ได้นำทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตีประเด็น และได้นำแนวคิดดังกล่าวไปใช้กับงานของตนโดยเริ่มจากการเข้าไปแทรกตัวเพื่อทำลายความสามัคคีของกุลบุตรในแคว้นวัชชี.. แม้ว่าพระองค์จะทรงสั่งสอนเรื่องสันติภาพและความอดทนแก่พุทธสาวกอย่างเข้มแข็งยิ่ง แต่ก็ปรากฏหลายครั้งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธเบี่ยงเบนจากคำสั่งสอนในเรื่องสันติภาพ เป็นความจริงที่ว่าความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติและศาสนาบางกรณีในบางภูมิภาคของโลกนี้แสดงให้เห็นว่า บางครั้งชาวพุทธได้รับการบิดเบือนในอันที่จะก่อให้เกิดความไม่อดกลั้นและถือเลือกปฏิบัติ หรือหาประโยชน์ใส่ตนจนถึงที่สุด แล้วบางทีการบิดเบือนทางศาสนาก็ให้ผลจนกระทั่งมีการใช้กำลังต่อคนที่เป็นปรปักษ์ ดังเช่นกรณีที่พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยแห่งประเทศศรีลังกา อ้างพระพุทธศาสนามาสนับสนุนการทำสงคราม [2]
๗.๓. แนวคิดทางการเมืองแคว้นมคธ
๗.๓.๑. นโยบายรวมชาติของอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร เจ้าแห่งแคว้นมคธมีนโยบายที่จะผนวกดินแดนโดยการจะยกทัพไปปราบแคว้นวัชชีซึ่งเป็นมหาอำนาจที่น่ากลัวแคว้นหนึ่งในยุคนั้น พระองค์จึงทรงสั่งการให้วัสสการพราหมณ์เสนาบดีแห่งแคว้นมคธไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าเพื่อทรงทราบพยากรณ์ว่าจะเห็นด้วย หรือไม่อย่างไรบ้าง
๗.๓.๒. หลักการมอบหมายงาน [ Put the right man in the right job]
ในเรื่องดังกล่าวนี้ จะเห็นว่าผู้นำรัฐอย่างพระเจ้าอชาตศัตรู ได้มองเห็นความสามารถของวัสสการพราหมณ์ ผู้เป็นเสนาบดีของพระองค์ จึงได้มอบงานที่สำคัญให้ทำการ นับได้ว่าเป็นการใช้คนให้ถูกกับงานเป็นอย่างมาก
๗.๓.๓. การเมืองระหว่างแคว้น
แคว้นวัชชีเปิดฉากรุกรานแคว้นมคธ
ในเรื่องดังกล่าวนี้แคว้นวัชชีคงจะทราบจุดประสงค์และความต้องการของฝ่ายแคว้นมคธอยู่มิใช่น้อย จึงได้ส่งกองกำลังเข้ามาประชิดชายแดนของมคธซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่กว่า จนแคว้นมคธต้องรีบส่งมหาอำมาตย์มาสร้างเมืองใหม่เพื่อเตรียมต่อสู้กับแคว้นวัชชีเป็นการเร่งด่วน
ก) การเมืองระหว่างวัชชีกับมคธ
การทำสงครามระหว่างแคว้นวัชชีกับแคว้นมคธคงจะเริ่มมีบ้างแล้วในพระสูตรนี้มีการสร้างเมืองหน้าด่าน หรือเมืองที่เป็นป้อมปราการเพื่อหยุดยั้งการขยายตัวอิทธิพลทางการเมืองของแคว้นวัชชีที่แผ่มายังแคว้นมคธ ดังปรากฏว่าสมัยนั้นมหาอำมาตย์สุนีธะ และมหาอำมาตย์วัสสการะชาวแคว้นมคธสร้างเมืองในปาฏลิคามเพื่อป้องกันพวกวัชชี [3] เมืองปาฏลิคาม (เมืองปาฏลีบุตร)นี้เอง ต่อมาเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ โดยมีพระมหากษัตริย์พระนามว่าพระเจ้าอโศกมหาราช พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๑๘ [4]
ข. กลยุทธ์ทางการทูต
เดิมทีแคว้นมคธจะใช้กำลังทหารเข้าโจมตีแล้วชิงเมืองของแคว้นวัชชี แต่เมื่อได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระเถระอานนท์ จึงทำให้วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ผู้มีสติปัญญาขบทฤษฏีดังกล่าวจนสามารถสรุปประเด็นได้แล้วหันมาใช้กลยุทธทางการทูตแทน
“ ข้าแต่ท่านพระโคดม พวกเจ้าวัชชีมีอปริหานิยธรรมแม้เพียงข้อเดียวก็พึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มีความเสื่อมเลย ไม่จำต้องกล่าวว่ามีครบทั้ง ๗ ประการ ข้าแต่ท่านพระโคดม พระราชา
แห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ไม่ควรทำสงคราม
กับพวกเจ้าวัชชีนอกจากจะใช้วิธีปรองดองทางการทูต หรือไม่ก็ทำ
ให้แตกสามัคคีกัน....” [5]
ในเรื่องดังกล่าวนี้ นงเยาว์ ชาญณรงค์ ได้อธิบายว่า สภาพทางการเมืองสมัยนั้นชี้ให้เห็นว่า กำลังมีการขยายอำนาจขยายดินแดนของประเทศต่าง ๆ มีการสู้รบกันเพื่อยึดอำนาจไว้แต่ผู้เพียงผู้เดียวในขณะที่เหตุการณ์กำลังอยู่ในภาวะคับขัน พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีประเล้าประโลมให้เห็นคุณและโทษด้วยธรรมต่าง ๆ นานา จนเป็นผลสำเร็จให้กษัตริย์หลายพระองค์ละทิฐิมานะของตนเข้าถึงธรรมของพระองค์ หยุดการรบราฆ่าฟัน หันมาปกครองโดยเมตตาธรรมนำประชาชนให้อยู่เป็นสุขสบาย มีความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน พระพุทธเจ้ามิได้ต้องการให้พระภิกษุสงฆ์เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสนับสนุนระบบการปกครองระบบใดระบบหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นราชาธิปไตย หรือสามัคคีธรรม แต่พระองค์ได้วางหลักธรรมสำหรับนักปกครองให้ปฏิบัติเพื่อการปกครองระบบนั้น ๆ ให้เป็นไปด้วยดี และประสบความสำเร็จในการปกครองเพื่อประโยชน์แก่สังคมและประชาชนให้มากที่สุด [6]
๗.๓.๔. การสร้างเมืองยุทธศาสตร์
ข) เมืองปาฏลิคาม จุดยุทยศาสตร์แห่งมคธ
จะเห็นว่าเมืองปาฏลิคาม เป็นเมืองที่สำคัญมากถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของแคว้นมคธก็ว่าได้การดำเนินการก่อสร้างครั้งนี้พระเจ้าอชาตศัตรูใช้มหาอำมาตย์ถึง ๒ คนคือมหาอำมาตย์สุนีธะ และมหาอำมาตย์วัสสการะ มาอำนวยการสร้างอีกประการหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญคือเทวดาก็ดี พระราชาก็ดี ราชมหาอำมาตย์ก็ดี ที่มีศักดิ์ใหญ่ ปานกลาง และน้อยพากันมาจับจองที่กันในเขตใครเขตมันตามศักดิ์ของตัวเอง จนทำให้เมืองปาฏลิคาม เป็นเมืองศูนย์การค้าและเจริญมากในเวลาต่อมา ดังพุทธดำรัสว่า
“ จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ที่มีศักดิ์ใหญ่ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในที่ที่เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่จับจอง จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ที่มีศักดิ์ปานกลางย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในที่ที่เทวดาผู้มีศักดิ์ปานกลางจับจอง จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ที่มีศักดิ์น้อย ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในที่ที่เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยจับจอง
ตราบใดที่ยังเป็นแดนที่อารยชนติดต่อกันอยู่ ตราบใดที่ยังเป็นเส้นทางค้าขายตราบนั้นเมืองปาฏลีบุตรนี้ยังจะเป็นเมืองชั้นเยี่ยม เป็นย่านการค้าอยู่ต่อไปแต่เมืองปาฏลีบุตรนั้นจะมีอันตราย ๓ อย่าง คืออันตรายจากไฟ อันตรายจากน้ำ หรืออันตรายจากการแตกความสามัคคี ” [7]
[1] ที.ม. ๑๐ / ๑๓๑–๒๔๐ / ๗๗–๑๘๐.
[2] เทพโสภณ (ประยูร มีฤกษ์), พระ. โลกทัศน์ของชาวพุทธ. ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓ ). หน้า ๖๒–๖๓.
[3] ที.ม. ๑๐ / ๑๕๒ / ๙๕.
[4] ธรรมปิฏก ( ป.อ. ปยุตโต), พระ. พระพุทธศาสนาในอาเชีย. ( กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, ๒๕๔๐). หน้า ๓๓๘.
[5] ที.ม. ๑๐ / ๑๓๕ / ๘๑.
[6] นงเยาว์ ชาญณรงค์. ศาสนากับสังคม. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๕). หน้า ๗๕.
[7] ที.ม. ๑๐ / ๑๕๒ / ๙๖.
เจริญพรขอบคุณครูธรรมทิพย์ ที่ลิขิตติชมและสามารถเชื่อมโยงกับวิชาที่สอนได้
อดีตมีไว้สอนปัจจุบัน คนไทยโชคดีที่มีพุทธศาสนาที่มีองค์ความรู้มากมาย
แต่น่าเสียดาย ไม่สามารถนำมาใช้ให้ทันการณ์ได้
จึงกลายเป็นว่าไทยนี้มีเงินให้เขากู้ และมีความรู้อยู่ในสมุด อะไรประมาณนั้น