๖.๑. มหาสีหนาทสูตร : สูตรว่าด้วยการบริหารจัดองค์กร [1]
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงประทับ ณ ราวป่าด้านทิศตะวันตกภายนอกพระนคร เขตกรุงเวสาลี สมัยนั้น โอรสของเจ้าลิจฉวี พระนามว่าสุนักขัตตะ ลาสิกขาจากพระธรรมวินัยได้ไม่นาน ได้กล่าวท่ามกลางที่ชุมชน ณ กรุงเวสาลี โดยตำหนิพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีญาณทัสสนะที่ประเสริฐสามารถ วิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ สมณโคดมแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการคิดค้น แจ่มแจ้งได้เอง ธรรมที่สมณะโคดมแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่บุคคล ย่อมนำไปเพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบสำหรับบุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมนั้น
พระสารีบุตรเถระ เข้าไปบิณฑบาต ได้สดับคำเช่นนั้น จึงกราบทูลพระพุทธเจ้า ๆ จึงตรัสว่า สารีบุตร โอรสเจ้าลิจฉวีพระนามว่าสุนักขัตตะ เป็นโมฆบุรุษ มักโกรธ คิดว่าจักกล่าวติเตียน แต่กลับกล่าวสรรเสริญคุณของตถาคตอยู่นั้นแล
ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงคุณและองค์ธรรมที่เจ้าลิจฉวีพระนามว่าสุนักขัตตะ จะไม่มีโอกาสได้ทราบ เช่น ทรงเป็นพระอรหันต์, ทรงสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้, ทรงสดับเสียงทิพย์ได้, ทรงรู้ใจสัตว์ได้
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสกำลังแห่งพระตถาคต ๑๐ ประการ, เวสารัชชญาณ (ญาณเป็นเหตุให้แกล้วกล้า) ๔ ประการ, บริษัท ๘, กำเนิด ๔, คติ ๕ ,ทรงรู้เห็นการไปทุคติและสุคติของบุคคล, พรหมจรรย์มีองค์ ๔, การบำเพ็ญตบะ, การประพฤติถือสิ่งเศร้าหมอง, การประพฤติรังเกียจ, ความประพฤติเป็นผู้สงัด, ลัทธิที่ว่าความบริสุทธิ์มีได้เพราะอาหาร, ลัทธิที่ว่าความบริสุทธิ์มีได้เพราะสังสารวัฏ , สัตว์ผู้ไม่หลง เป็นต้น
๖.๒.ภาวะผู้นำของพระพุทธเจ้า
คำว่า “ ภาวะผู้นำ ” (Leadership) คือการเข้าไปสร้าง หรือส่งเสริมกิจกรรมที่ไปมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นเพื่อให้บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติงานอย่างเต็มใจและบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน [2]พระพุทธเจ้าแม้จะถูกตำหนิก็ไม่ทรงย่อท้อพระทัย แต่กลับสร้างภาวะความเป็นผู้นำออกมาตอบโต้ ดังนี้
๖.๒.๑. ทรงเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
โอรสเจ้าลิจฉวีพระนามว่าสุนักขัตตะ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยโดยการตั้งกระทู้เพื่อคัดค้านความชอบธรรมของพระพุทธเจ้าในท่ามกลางชุมชน ณ เมืองเวสาลีว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงมีความรู้ความสามารถจริงอะไร แต่เมื่อแสดงความคิดเห็นออกไป กลับเป็นการสรรเสริญรับรองและสนับสนุนพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นคำตรงกันข้าม
“ สมณโคดม ไม่มีญาณทัสสนะที่ประเสริฐอันสามารถวิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ สมณโคดมแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึกที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ธรรมที่สมณะโคดมแสดงเพื่อประโยชน์แก่บุคคลย่อมนำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ สำหรับบุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมนั้น ” [3]
เมื่อพระมหาเถระอย่างพระสารีบุตร ไปบิณฑบาตจึงได้สดับมาจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่าสารีบุตรโอรสเจ้าลิจฉวีนามว่าสุนักขัตตะ เป็นโมฆบุรุษมักโกรธกล่าวด้วยความโกรธ โดยคิดจะกล่าวติเตียน แต่กลับกล่าวสรรเสริญคุณของพระตถาคต อยู่อย่างนั้น
๖.๒.๒. ทรงแสดงกำลังของพระตถาคตเจ้า
กำลังของพระตถาคตเจ้า |
ภาวะผู้นำ |
๑.ตถาคตรู้ชัดฐานะโดยเป็นฐานะและ อฐานะโดยเป็นอฐานะในโลกนี้ตามความเป็นจริง ๒.ตถาคตรู้ชัดวิบากแห่งการยึดถือกรรมที่เป็นทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ๓.ตถาคตรู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงภูมิทั้งปวง ๔.ตถาคตรู้ชัดโลกที่มีธาตุหลายชนิดที่แตกต่างกัน ๕.ตถาคตรู้ชัดว่าหมู่สัตว์เป็นผู้มีอัธยาศัยต่างกัน ๖.ตถาคตรู้ชัดว่าสัตว์เหล่าอื่นและบุคคลอื่นมีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ๗.ตถาคตรู้ชัดความเศร้าหมองความผ่องแผ้วแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมบัติ การออกจากฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ๘.ตถาคตระลึกถึงชาติก่อนได้หลายชาติตั้งแต่ ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗....๑๐๐,๐๐๐ ตลอดสังวัฏฏกัป ๙.ตถาคตเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติกำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูง รูปงามและไม่งาม เกิดดีและไม่ดีด้วยตาทิพย์ ๑๐.ตถาคตทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ |
๑.ต้องมีฐานเสียงสนับสนุนว่าจะเป็นผู้นำต้องรู้ว่าทีมงานฐานเสียงมากน้อยแค่ไหน ๒.ต้องรู้ผลของนโยบายดี: วิบาก คือผลแห่งการปฏิบัติ เช่น วางนโยบายออกมา วิบากกรรม คือผลกรรม ๓.ต้องมีวิสัยทัศน์ คือทิศทางที่จะไปและงดเว้นภูมิคือภพภูมิ ๔.ต้องรู้ถึงความแตกต่างระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ๕.ต้องรู้ความต้องการแต่ละกลุ่ม หรือชุมชน หรือกลุ่มผลประโยชน์ ๖.ต้องวิเคราะห์เป็นว่าแต่ละกลุ่มมีจุดด้อยเด่นอย่างไรบ้าง ๗.ต้องรู้คะแนนนิยมว่าคงอยู่ ลดลง อย่างไร เท่าไหร่ ๘.ต้องสำรวจความคิดเห็นโดยการทำโพล หรือประชามติ ๙.ต้องเป็นนักสังเกต เมื่อเห็นนักการเมืองรุ่นน้องแสดงความคิดเห็น หรือแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ย่อมอาศัยประสบการณ์มาทำนาย หรือบอกสอนได้ ๑๐.ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้จนสร้างตนให้เป็นองค์แห่งความรู้ |
เวสารัชชญาณ ญาณเป็นเหตุให้แกล้วกล้า ๔ ประการที่พระพุทธองค์ทรงมีแล้วทำให้มีฐานะองอาจ บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท คือ
๑. สัมมาสัมพุทธะ คือรู้ชอบเอง
๒. เป็นพระขีณาสพ คือปฏิบัติแล้วบรรลุตามได้แล้ว
๓.ไม่เป็นอันตรายิกรรม คือบริสุทธิ์และตรวจสอบได้
๔. ธรรมที่แสดงมีประโยชน์ คือมีเป้าหมายชัดเจน
๖.๓. องค์กร (Organization)
ในมหาสีหนาทสูตรนี้ หากจะเทียบเคียงแนวคิดเรื่องของการจัดองค์กรแล้ว จะเห็นถึงความคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย คำว่า “องค์กร” หรือ “องค์การ” คือกลุ่มสังคมที่มีคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาร่วมกระทำกิจกรรม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน โดยจะต้องมีการจัดรูปแบบหรือโครงสร้างความสัมพันธ์ของในการกระทำกิจกรรมร่วมกันอย่างน้อยรูปแบบของความสัมพันธ์จะต้องปรากฏขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งนานพอที่จะสังเกตเห็นได้ [4]
คำว่า “บริษัท” คือ กลุ่ม, หมู่, คณะ หรือการรวมกันของหมู่ชน ดังพระดำรัสว่า
สารีบุตร กำลังของตถาคต ๑๐ ประการนี้ ที่ตถาคตมีแล้ว เป็นเหตุให้ปฏิญญาฐานะที่องอาจบันลือสีหนาท ประกาศ
พรหมจักรในบริษัท [5] และคำว่าบริษัทในพระสูตรนี้ก็ไม่เป็นอะไรไปมากกว่ากลุ่มชนที่มีกรรม-พฤติกรรม-วิบากกรรม ที่แตกต่างกันไป ซึ่งไม่ใช่องค์การในลักษณะของระบบที่ถือว่า องค์การเป็นระบบสังคมที่ประกอบไปด้วยระบบย่อย ๆ หรือส่วนประกอบต่าง เช่น มีวัตถุประสงค์, กิจกรรมหรืองานที่ต้องทำในองค์กร, โครงสร้าง, คนที่ทำงาน, ทรัพยากร, เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เช่น อิทธิพลทางการเมือง เป็นต้น [6] แต่ก็พอจะสงเคราะห์ได้กับหลักการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพที่ประกอบไปด้วยคำว่า POSDCoRB ดังนี้ [7]
P = Planning หมายถึง การวางแผน
O = Organizing หมายถึง การจัดองค์การ
S = Staffing หมายถึง คณะผู้ร่วมงาน
D = Directing หมายถึง การสั่งการ
CO = Coordinating หมายถึง การประสานงาน
R = Reporting หมายถึงการทำรายงาน
B = Budgeting หมายถึงการทำงบประมาณ
๖.๓.๑. รัฐประศาสนศาสตร์ในพระสูตร [ POSDCoRB]
เมื่อจะศึกษาเปรียบเทียบรัฐประศาสนศาสตร์ หรือ การบริหารรัฐกิจ กับพระสูตร มีความหมายที่ไม่ตรงประเด็นเลยทีเดียวเพราะการบริหารและการจัดองค์กรนั้นจะมองดูรูปแบบในพระพุทธศาสนาที่กว้างกว่าความหมายในหลักวิชาการทางตะวันตกเป็นอย่างมาก หากแต่การศึกษาเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดการบูรณาการด้วยกรอบความคิดที่กว้างกว่าก็จะเป็นประโยชน์อยู่มิใช่น้อย ดังจะอธิบายต่อไป
P = Planning หมายถึง การวางแผน คือเมื่อลงมือทำอะไรต้องรู้ผลของกรรมหรือนโยบายนั้นด้วย เช่น เมื่อกรรมดี วิบากกรรม หรือผลแห่งการปฏิบัติก็จะดีไปด้วยตถาคตรู้ชัดวิบากแห่งการยึดถือกรรมที่เป็นทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบันโดยฐานะ โดยเหตุตามความเป็นจริง [8] หรือทรงตรัสว่า ตถาคต รู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงภูมิทั้งปวงตามความเป็นจริง นั้นแสดงถึงวิสัยทัศน์ของนักบริหารที่มองปัญหาอุปสรรค์และวิธีการแก้ไขเพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายขององค์การได้ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงใคร่ครวญวางแผนก่อนที่จะตรัสพระสูตรนี้
O = Organizing หมายถึง การจัดองค์การ ในพระพุทธศาสนามีพุทธบริษัท ๔ อันประกอบไปด้วยภิกษุบริษัท ภิกษุณีบริษัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบริษัท การที่พระองค์เสด็จไปโปรดไวไนยสัตว์ต่าง ๆ ก็ได้บริษัทมากขึ้น จึงได้จัดองค์การที่เรียกว่า “พุทธศาสนา” ขึ้นมา แม้แต่องค์การสงฆ์ที่เป็นองค์กรย่อยที่พระพุทธองค์ทรงใช้บริหารเพื่อเป็น แบบจำลอง ก็ทรงบริหารจัดการที่ดีเลิศ
S = Staffing หมายถึง คณะผู้ร่วมงาน รวมไปถึงการจัดวางสายงานด้วย ซึ่งในพุทธประวัติพระองค์ได้ส่งพระภิกษุออกไปประกาศพระศาสนาไม่ให้ไปพร้อมกัน ๒ รูปในทางเดียว และพระองค์ทรงเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย ว่าจะ put the right-man in the rigth job อย่างไร เช่นใครถนัดงานด้านไหน ก็ทรงยกย่องเชิดชูเป็นเอตทัคคะในด้านนั้น ๆ เช่น พระสารีบุตรเถระ เป็นผู้เลิศทางด้านปัญญา, พระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นผู้เลิศทางด้านมีฤทธิ์ เป็นต้น
D = Directing หมายถึง การสั่งการ พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความพร้อมและไม่พร้อมของบุคคลว่าใครควรจะตรัสสอนเรื่องอะไรก่อนหลัง เช่น สามเณรเสฏฐะและภารทวาชะ เถียงกันในเรื่องต่าง ๆ พระองค์จะวินิจฉัยสั่งการ หรือแม้แต่พระจุลทะที่พี่ชายให้ท่องคาถาไม่ได้ คิดที่จะสึก พระพุทธองค์ก็ทรงให้นั่งบริกรรมลูบผ้าขาว หรืออย่างพระจักขุบาลที่เหยียบสัตว์ตายเพราะตาบอด เป็นต้น จึงทรงตรัสว่า
“ ตถาคตรู้ชัดว่าสัตว์เหล่าอื่น และบุคคลเหล่าอื่นมีอินทรีย์แก่กล้า และอินทรีอ่อนตามความเป็นจริง ” [9]
Co = Coordinating หมายถึง การประสานงาน หรือการสร้างความสามัคคี เช่นพระองค์ทรงประสานความร่วมมือระหว่างคณะพระวินัยธร กับพระธรรมธรที่พิพาทกันเรื่องวินัยเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ การพิพาทเรื่องการแบ่งน้ำจากแม่นำโรหินีระหว่างพระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย เป็นต้น
R = Reporting หมายถึงการทำรายงาน เมื่อเกิดเหตุในสังคมและองค์กร พระองค์จะทรงเรียกประชุมเพื่อแจ้งรายงานแก่คณะสงฆ์ เช่น กรณีวัสสการพราหมณ์ทูลถามเรื่องความมั่นคง พระองค์ก็ทรงตรัสเรียกประชุมสงฆ์ในเขตเมืองมาตรัสอปริหานิยธรรมโดยทรงเน้นเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือพระอานนท์ขอพร ๘ ประการมีข้อหนึ่งถ้าพระอานนท์ไม่ได้ตามเสด็จไป พระองค์ก็ทรงกลับมาตรัสธรรมเรื่องนั้น ๆ ให้กับพระอานนท์ หรือภิกษุละเมิดศีล ก็สืบสวน ลงโทษปรับอาบัติแล้วแจ้งให้สงฆ์ทราบ เป็นต้น
B = Budgeting หมายถึงการทำงบประมาณ งบประมาณ หรือว่าต้นทุน พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้งบประมาณในรูปของเงินงบประมาณ แต่พระองค์มีต้นทุนทางสังคมสูงมากคือเรื่องของศีล-สมาธิ-ปัญญา อันเป็นอริยทรัพย์ ก็สามารถบริหารจัดการได้ แต่ถ้าจะเทียบเคียงแหล่งทุนของพระพุทธศาสนาในสมัยนั้นก็มีมากมาย เช่น กษัตริย์ผู้นำ อย่างพระเจ้าพิมพิสาร, พระเจ้าประเสนทิโกศล, พระเจ้าอชาตศัตรู ฯลฯ พราหมณ์มหาศาล อย่างอนาถบิณฑกเศรษฐี, นางวิสาขา เป็นต้น
เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น จึงขอจัดองค์กรตามพระสูตร ดังนี้
๖.๓.๒.การจัดองค์กรทางสังคม (Communalism)
ในพระสูตรนี้ เราจะเห็นพระพุทธองค์จัดระบบองค์กร หรือกลุ่มผลประโยชน์ ไว้ในหลากหลายรูปแบบ จัดโดยอาศัยอาชีพบ้าง กำเนิดบ้าง หรือคติที่ไปบ้าง ก็ได้เพื่อให้สามารถปรับใช้ ยืดหยุ่นต่อระบบกลุ่มองค์กรนั้น ๆ เช่น
ก. การจัดระบบองค์การโดยอาศัยกลุ่มชน หรืออาชีพ ๘ ประการ คือ
กลุ่มขัติยบริษัท พวกผู้ปกครอง นักการเมือง
กลุ่มพราหมณ์บริษัท พวกครูอาจารย์ มีอาชีพทางการศึกษา
กลุ่มคหบดีบริษัท พวกพ่อค้าทำงานทางด้านเศรษฐกิจ
กลุ่มสมณะบริษัท พวกนักบวช
กลุ่มจาตุมหาราชบริษัท พวกเทพ
กลุ่มดาวดึงสบริษัท พวกเทพที่มีพระอินทร์เป็นผู้นำ
กลุ่มมารบริษัท กลุ่มผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
กลุ่มพรหมบริษัท กลุ่มของพระพรหม
ข. การจัดระบบองค์การโดยอาศัยกำเนิด หรือที่มา
๑. กำเนิดอัณฑชะ เกิดในไข่
๒. กำเนิดชลาพุชะ เกิดในครรภ์
๓. กำเนิดสังเสทชะ เกิดในเถ้าไคลหรือที่ชื้นแฉะ
๔. กำเนิดโอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น
ค. การจัดระบบองค์การโดยอาศัยคติ หรือทางไป (เป้าหมาย)
๑. นรก ทุคติ ภพภูมิที่ไม่เจริญ
๒. ดิรัจฉาน ทุคติ ภพภูมิที่ไปทางขวาง
๓. เปรตวิสัย ทุคติ ภพภูมิผู้ละไปแล้ว
๔. มนุษย์ สุคติ ภพภูมิผู้มีจิตใจสูง
๕. เทวดา สุคติ ภพภูมิแห่งเทพ
นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนพัฒนาสังคมโดยถือเอาพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมาเป็นตัวชี้วัดว่าทำอย่างนี้จะมีวิถีชีวิตไปสู่สิ่งนี้เหมือนกับกำหนดวิสัยทัศน์เอาไว้ เช่น
“ เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า “บุคคลผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นไปอย่างนั้นและดำเนินทางนั้นแล้ว หลังจากตายแล้วจักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ” ต่อมาเราเห็นเขา
หลังจากตายแล้วไปเกิดในอบายทุคติ วินิบาต นรก เสวยทุกขเวทนา
โดยส่วนเดียวอันแรงกล้า เผ็ดร้อนด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ ” [10]นอกจากนั้นยังมีการเปรียบเทียบลงลึกให้เห็นภาพในหนทางไปของสัตว์ต่าง ๆ ว่าถ้ากลุ่มชน หรือองค์กรใดมีแนวคิดอย่างนี้จะได้รับผล และเป้าหมายอย่างนี้ เป็นต้นว่า
“ หลุมถ่านเพลิงลึกมากกว่าช่วงตัวบุรุษเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ที่ปราศจากเปลวและควัน ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างกายถูกความร้อนแผดเผา
ครอบงำเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน หิวกระหาย เดินมุ่งมายังหลุ่มถ่านเพลิงนั้นโดยหนทางสายเดียวบุรุษผู้มีตาดีเห็นเขาแล้วจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นไปอย่างนั้น และดำเนินทางนั้นจักมาถึงหลุมถ่านเพลิงนี้นั่นแล”
ต่อมาบุรุษผู้มีตาดีนั้นจะพึงเห็นเขาผู้ตกลงในหลุมถ่านเพลิงนั้นเสวยทุกขเวทนาโดยส่วนเดียวอันแรงกล้า เผ็ดร้อน แม้ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน กำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า “บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นไปอย่างนั้นและดำเนินทางนั้นแล้วหลังจากตายแล้วจักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ต่อมาเราเห็นเขาหลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิตบาต นรก
เสวยทุกขเวทนา โดยส่วนเดียวอันแรงกล้า เผ็ดร้อน ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ ” [11]
และยังได้เปรียบเปรย หรือชี้ให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติเหมือนมีแผนที่ไว้ในมือ หรือสูตรสำเร็จอื่น ๆ อีก เช่น บุคคลปฏิบัติย่างนี้ต้องดำเนินไปสู่ดิรัจฉาน....เปรตวิสัย, มนุษย์ภูมิ, โลกสวรรค์เป็นลำดับ
๖.๔. แนวนโยบายที่ทรงใช้การสร้างศรัทธา
นอกจากนั้น พระพุทธองค์ยังชี้ให้เห็นว่าทฤษฎีต่าง ๆ ก็ดีแนวทางต่าง ๆ ก็ดี มิใช่ว่าพระองค์จะปฏิเสธหรือมีอคติว่าผิดแต่ที่พระองค์ทรงรู้,ทราบและเข้าใจเพราะพระองค์ทรงทดสอบทดลองมาด้วยตัวของพระองค์เอง เช่น
พระพุทธองค์เคยเป็นอเจลก คือประพฤติเปลื่อยกายทำตัวเป็นผู้ไม่มีมารยาท เลียมือ เขาเชิญให้ไปรับอาหารก็ไม่ไปเขาเชิญให้หยุดรับอาหารก็ไม่หยุด ฯลฯ ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุราเมรัย รับอาหารในเรือนหลังเดียว ยังชีพด้วยข้าวคำเดียว รับอาหารบนเรือน ๒ หลัง ยังชีพด้วยข้าง ๒ คำ ฯลฯ รับอาหารในเรือน ๗ หลัง ยังชีพด้วยข้าว ๗ คำ เป็นต้น ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมด้วยการบำเพ็ญตบะหรือจะทรงทำการทดลองทฤษฎี ประพฤติถือสิ่งเศร้าหมอง , การทดลองทฤษฎี ประพฤติรังเกียจ , การทดลองทฤษฎีประพฤติเป็นผู้สงัด, การทดลองทฤษฎีความบริสุทธิ์ได้ด้วยอาหาร , การทดลองทฤษฎีความบริสุทธิ์มีได้ด้วยสังสารวัฏฏ์ เป็นต้นพระองค์ก็ไม่ทรงค้นพบเป้าหมายของชีวิต จึงทรงเลิกการทดลองในทฤษฎีเหล่านั้นเสียแล้วพระองค์ทรงใช้นโยบายใหม่ คืออริยมรรคคือ องค์ ๘ นั้นเอง
พระสูตรนี้ เมื่อศึกษาแล้ว ทำให้เห็นแนวคิดการจัดองค์กรแนวพุทธได้อย่างชัดเจน เช่น จัดองค์กรโดยยึดอาชีพ, กำเนิด, คติ เป็นหลักก็เพื่อทรงสอนให้คนอินเดียในยุคพุทธกาลได้รู้ว่า วรรณะ ๔ ของพราหมณ์นั้นเมื่อเทียบรายละเอียดแล้ว พระพุทธองค์ทรงวิเคราะห์เจาะลึกมากกว่า
แม้องค์กรทางโลกจะใช้ POSDCoRB ในการบริหารจัดการ แต่แนวคิดของพระพุทธเจ้าก็เหมาะสมกับสถานการณ์และเหตุการณ์ในยุคสมัยนั้น ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การแสดงภาวะผู้นำของพระพุทธเจ้า และการแก้ปัญหาสังคมด้านต่าง ๆ ด้วยพุทธวิธี
[1] ม.ม. ๑๒ / ๑๔๖–๑๖๒ / ๑๔๑–๑๖๕.
[2] ติน ปรัชญพฤทธิ์. ศัพท์รัฐประศาสนศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หน้า ๒๒๖.
[3] ม.ม. ๑๒ / ๑๔๖ / ๑๔๑.
[4] มานพ สวามิชัย. หลักการจัดการ. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ก. วิวรรธน์, ๒๕๓๓). หน้า ๑.
[5] ม.ม. ๑๒ / ๑๔๘ / ๑๔๔.
[6] มานพ สวามิชัย. อ้างแล้ว หน้า ๒.
[7] จิรโชค (บรรพต) วีระสัย และคณะ. รัฐศาสตร์ทั่วไป. (กรุงเทพฯ : หจก. โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๔๐). หน้า ๕๓๔.
[8] ม. ม. ๑๒ / ๑๔๘ / ๑๔๕.
[9] เรื่องเดียวกัน หน้าเดียวกัน.
[10] ม.ม. ๑๒ / ๑๕๔ / ๑๕๓.
[11] ม.ม. ๑๒ / ๑๕๔ / ๑๕๓ - ๑๕๔.
เป็นข้อมูลสาระอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ