วันที่ 2 พ.ค.นี้ครูเขียวได้รับเกียรติ จากโรงเรียนระดับประถมโรงเรียนหนึ่งซึ่งเป็นเครื่อข่ายเดียวกับโรงเรียนครูเขียว เนื่องมาจากผลการประเมินการอ่านภาษาไทยของนักเรียนเริ่มจากต้นปี 53 จนถึง ต้นปี 54 พบว่านักเรียนพัฒนาการด้านการอ่านไม่เพิ่มขึ้นเลย ทำให้โรงเรียนถูกเพ่งเล็งจาก สปพ.และที่สำคัญมันเป็นความทุกข์ในงานที่รับรับผิดชอบต่อการจัดการศึกษาของผู้บริหารและครู ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 10 วันในการทำกิจกรรมนี้ ซึ่งสำหรับครูเขียวแล้วนั้นเพิ่งปิดค่าย ปันโอกาส ปันปัญญา พัฒนาคุณธรรม เด็กเยาวชนพิการและด้อยโอกาสมาเมื่อวันที่ 26 เม.ย.
ครูเขียวเคยไปร่วมประชุมฟังปัญหาของผู้บริหาร ครู ก่อนปิดภาคเรียน ได้พบปะกับผู้ปกครองและตรวจสอบความรู้พื้นฐานของเด็กๆจำนวน 14 คน ผู้บริหารเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า แอลดี แต่เมื่อทดลองตรวจสอบแล้วครูเขียวไม่แน่ใจว่าทุกคนคือแอลดี แต่เป็นบุญของเด็กที่เขามาเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีผู้บริหารและครูให้ความสำคัญกับพวกเขา การคิดช่วยทางการศึกษาแม้ว่าวินิจฉัยจะผิดพลาดไปบ้างแต่ก็ไม่เสียหายไปกว่าการไม่ดูดำดูดี เพราะหากไม่รู้จะได้รู้เพิ่ม หากรู้แล้วจะทำให้เกิดทักษะมากขึ้น
ครูเขียวคิดว่าบางครั้งการจัดการศึกษาที่ไม่รู้เท่าทันปัญหาของผู้เรียนจริงๆคงจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่หลายกระแสออกมาวิจารณ์โดยเฉพาะครู เรื่องของคุณภาพเด็กไทยในปัจจุบัน
ครูก็คือคนธรรมดา แค่ใส่บทบาทผู้ให้ความรู้เข้ามา มีหลายคนที่ตีบทแตกสวมบทบาทเป็นครูได้ทั้งชีวิต ก็เป็นโชคดีของลูกศิษย์ ถ้ามองให้คล้ายๆกับแพทย์ ( มิบังอาจเทียบจริงแต่สมมติ ) คือแพทย์ ก่อนที่จะสั่งยาให้กับคนไข้ ก่อนอื่นจะต้องมีรับประวัติที่พยาบาลซักจากคนไข้ แล้วใช้เครื่องมือความรู้ความสามารถตรวจหาอาการประกอบเมื่อทุกอย่างสอดคล้องจึงสั่งยา เฉกเช่นเดียวถ้าแพทย์ทำงานสอดคล้องกับพยาบาล คนไข้ ยาที่ได้จะตรงกับโรค ครูหากศึกษาข้อมูลเด็กรายบุคคลอย่างละเอียดเปิดใจ ใช้ความรู้หลักจรรยาบรรณ เด็กๆก็คงได้รับการพัฒนาเต้มศัยกาภพของแต่ละคน
วันพรุ่งนี้ครูเขียวเตรียมสื่อประเภทต่างๆเพื่อไปใช้พัฒนาพวกเขา แต่ไม่ทราบว่าจะได้ผลเช่นไร แต่ดีใจที่จะได้ช่วยพวกเขา และเต็มใจที่จะทำให้เขาพ้นปัญหานี้ให้ได้แล้วจะเล่าให้ฟังต่อ
ไม่มีความเห็น