เห็นชื่อเรื่องและนักแสดงจาก Posterใบปิดหนัง
ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นหนังวัยรุ่นตลกไร้สาระงั้นๆ
แต่พอได้ยินน้องๆ ในที่ทำงานนำเอามุกในหนังมาเล่น
ผมคิดว่าหนังน่าจะมีอะไรดีๆ แน่เลย ก็เลยไปเสาะแสวงหาหนังแผ่นมาดู
แล้วก็พบว่า
หนังมีการแฝงปรัชญาแนวคิดในการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี
เนื้อหาของหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ”สุดเขต “ชายหนุ่มที่มมีนิสัยแปลกๆ
เหมือนไม่แคร์ใคร แต่ลึกๆ แล้วต้องการคนมาเข้าใจ
เหมือนเป็นการโกหกตัวเอง
อย่างไรก็ตามการดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการดูให้เหมาะสมเพราะบางฉากบางตอนก็อาจจะดูไม่เหมาะสำหรับวัฒนธรรมไทย
ที่หนังตั้งใจเอามุกตลกมาใส่เพื่อให้ดูว่าเป็นความแตกต่างที่สะใจ เช่น
ในฉากที่สุดเขตไปพบสาวมะยมแล้วเจอหน้าแม่
แทนที่จะทักทายไหว้สวัสดีด้วยความมีสัมมาคารวะกลับเล่นมุกกันแรงดูเหมือนไม่ให้ความเคารพ
ภาพจาก
http://www.thaipr.net/nc/readnews.aspx?newsid=e53f95f2b6a1b67b0e463c7a58f475e8
สิ่งที่หนังสื่อในเนื้อหาด้านการสร้างแรงบันดาลใจ
และแนวทางการดำเนินชีวิตตรงๆ ก็คือ ความมุ่งมั่นในสิ่งที่จะทำ จากมุก
“ผู้ชายนับสาม” และมุก“แพ้แล้วยังยิ้มได้” ในมุก “ผู้ชายนับสาม”
ในเนื้อเรื่องสื่อให้เห็นว่าคือถ้าลองทำครั้งแรกแล้วไม่ได้ให้ลองอีกครั้ง
และถ้าครั้งที่สองยังไม่ได้ให้ลองเป็นครั้งที่สาม
สุดท้ายแล้วแม้ครั้งที่สามแล้วยังไม่ได้
แสดงว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับเป้าหมายตรงนี้
ให้เปลี่ยนเป้าหมายใหม่แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่
ระหว่างที่ผิดหวังจากการลองสู้จากครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง
ถ้ายังไม่ประสบผลสำเร็จ ให้ยิ้มสู่กับความล้มเหลวนั้น จากมุก
“แพ้แล้วยังยิ้มได้” สื่อให้เห็นว่า“ถ้าคนแพ้ยังยิ้มได้
คือคนที่เก่งกว่าคนชนะ”
คนที่สามารถยังยิ้มได้กับสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเขาไม่ได้พ่ายแพ้หรือล้มเหลว
แต่เขาได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเป้าหมายที่วางไว้
ซึ่งเขาต้องค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป
เหมือนกับที่ โทมัส อัลวา เอดิสัน
ได้กล่าวกับเพื่อนเรื่องการค้นหาไส้หลอดไฟฟ้าที่เหมาะสมไว้ว่า
“เขาไม่ได้ล้มเหลว
แต่เขาได้เรียนรู้ถึงวัสดุที่ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นไส้หลอดไฟฟ้าได้กว่าเก้าร้อยชนิดแล้ว”
อีกมุกหนึ่งที่ให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมากก็คือเรื่อง
ความมั่นใจในศักภาพตนเองกับมุก “ถึงแม้หน้าตาจะไม่หล่อ (สวย)
แต่หัวใจเราหล่อ (สวย) มาก” นั่นคือการให้ความสำคัญกับบุคลิกภาพภายใน
จะเห็นว่าคนที่มีเสน่ห์ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดี
แต่งตัวดี แต่อยู่ที่ความเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม มีคุณธรรม จริยธรรม
ตามแนวคิดของความ เก่ง ขยัน ดี และมีมนุษย์สัมพันธ์
ที่ผมได้เคยบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ (http://gotoknow.org/blog/attawutc/288835
)
หลายฉากในที่สื่อออกมาจากหนังเรื่องนี้จะมีการเสียดสีและล้อเลียนอยู่เป็นระยะ
ไม่ว่าจะเป็นชื่อของค่ายเพลง การทำธุกิจขายตรง
การทดสอบความสามารถของเวทีประกวด/ค่ายเพลง
แต่มีฉากหนึ่งที่ทำให้ผมได้ฉุกคิดกับการตัดสินของคนในสังคม
หรือจากพ่อแม่ครูอาจารย์ นักวิชาการทั้งหลาย
ที่เอากรอบความคิดของตัวเองไปตัดสิน อย่างที่เรียกว่า “ในนามของความดี
ข้าขอประนามเจ้า”
นั่นคือฉากของการพบปะกันระหว่างสุดเขตกับแก็งซิ่งมอเตอร์ไซค์
พวกเขาเพียงแค่ต้องการความเข้าใจและยอมรับจากสังคมพวกเขาเรียกตัวเองว่า
“วีระบุรุษนักบิด” และ “พริตตี้รองเท้าแตะ”
แทนที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงแค่ “เด็กแว้น” หรือ “เด็กสก๊อย”
พวกเขามีศักยภาพบางอย่างที่เราอาจจะนึกไม่ถึงดังนั้นคนเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์น่าจะต้องมีการค้นหาและส่งเสริมพวกเขาต่อไป
เช่น
จากฉากที่นักร้องนักดนตรีอินดี้กับนักเต้นจากแก็งซิ่งมอเตอร์ไซค์ได้ร่วมมือกัน
ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่เราก็ได้เห็นความงดงามในมิตรภาพของคนเหล่านั้น
ก่อนหน้านี้ในมุมมองของคน Gen X ที่ชอบฟังเพลงแนว METAL
อย่างผม ผมคิดว่าวัฒนธรรมดนตรีของวัยรุ่น K-POP
ในเรื่องเป็นสิ่งที่ไร้สาระมากๆ แต่พอมาดูหนังเรื่องนี้
ผมรู้สึกว่าความคิดผมค่อนข้างเปลี่ยนไปจากที่ได้เห็นฉากของนักร้องนักดนตรีอินดี้กับสาวนักเต้น
K-POP ได้ร่วมมือกัน ทำให้ฉุกคิดมาได้ว่าดนตรีก็คือดนตรี
ไม่ควรแบ่งแยกว่า นี่เป็น Rock นี่เป็น POP และตีความตามทฤษฎี
CHAOSได้ว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมเราต้องยอมรับและเคารพในความแตกต่าง
เราคือเขา เขาคือเรา
ความไร้ระเบียบที่สเปะสะปะเมื่อมองอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้ว
ความจริงมันก็คือความเป็นระเบียบอย่างสูงสุดที่มีความยั่งยืนกว่ามากกว่าความเป็นระเบียบเชิงเส้นที่ทุกๆ
อย่างเหมือนกันหมด
สุดท้ายแล้วความเป็นระเบียบแบบเชิงเส้นก็จะอยู่ร่วมกันไม่ได้
และล่มสลายไป