อัจฉรา
นางสาว อัจฉรา มิว สุทธิสุนทรินทร์

เรื่องดีๆในงานสะบายดีปีใหม่ไทย 2554


สองชั่วโมงที่ได้อยู่ในงานเดียวกับท่าน เห็นแต่รอยยิ้ม แสดงออกถึงความเป็นกันเอง กลมกลืนกับวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี คนอื่นอาจคิดว่าแค่สองชั่วโมงเอง แต่เรากลับคิดว่าท่านอยู่ตั้งสองชั่วโมงเชียวหรือรู้สึกเป็นเกียรติมาก

 “เราคงไปสายนะจะไปกันก่อนหรือว่ารอเราแถวไหนดี” เราพูดกับเพื่อนคนหนึ่งที่จะไปงานบายศรี สะบายดีปีใหม่ไทยด้วยกัน ทั้งที่รู้ว่าจะต้องไปไม่ทันงานตามกำหนดการที่ได้รับมาแน่ เวลา 18.30 น. แต่ด้วยความที่อยากไปงานนี้มากกับทั้งตอบรับเจ้าของงานแล้วว่าจะไป ก็คิดอย่างเดียวว่าไปสายดีกว่าไม่ไป การตัดสินใจนี้ก็ไม่ทำให้เราเสียใจจริง ๆ มีเรื่องน่าประทับใจตลอดงานที่อยากร่วมแบ่งปันกับคนที่ไม่ได้ไปด้วย

วันพฤหัสที่ 14 เมษายน 2554 เราได้รับเชิญให้ไปร่วมงานสะบายดีปีใหม่ไทย (บายศรี เทศกาลสงกรานต์ 2554) ซึ่งในงานมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเสด็จเป็นองค์ประธานด้วย ณ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

กว่าพวกเรา (ไหม เตือน มิว เจอพี่สถาพรและพี่สุธรรมหน้าประตู) จะไปถึงงานก็เกือบ 19.30 น.แล้ว เมื่อก้าวเข้าประตูก็เจอกับขบวนที่ยืนรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯพอดี พวกเราจึงได้ยืนรับเสด็จอย่างใกล้ชิดมาก เพิ่งเดินเข้างานก็เจอเรื่องน่าประทับใจเลย

จากนั้นท่านสมจิตต์ (ทูตฝ่ายการศึกษา) ผู้ที่ส่งจดหมายเชิญมาให้ก็ต้อนรับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ท่านไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าพวกเราเป็นเด็ก แต่กลับเห็นพวกเราเป็นแขก มิตรสหาย ดูแลเป็นอย่างดีถึงแม้ว่าท่านจะต้องต้อนรับแขกผู้ใหญ่อีกหลายท่านก็ตาม

 “พวกเราคงต้องไปซื้อผ้าซิ่นกับเสื้อให้เข้ากับบรรยากาศของเมือง สปป.ลาวบ้าง เพราะพวกเราคงมากันอีกหลายครั้ง” เราบอกกับเพื่อนที่ไปด้วยกัน เพราะในงานได้เห็นหนุ่ม-สาว ผู้ใหญ่ทั้งไทย – ลาว แต่งตัวกันเหมือนอยู่ สปป.ลาว มีแต่พวกเราที่กลายเป็นคนแปลกไปเลย

เมื่อสมเด็จพระเทพฯ กล่าวเปิดงาน อวยพรปีใหม่ให้กับทุกท่านแล้วแขกในงานก็ทยอยตักอาหารไปรับประทานที่โต๊ะกันอย่างมีความสุข แม้แต่เครื่องดื่มที่บริการในงานก็ไม่พลาดที่จะเสิร์ฟเบยลาว (เบียร์ลาว) ด้วย

ช่วงรำม่วนชื่น ฯพณฯ อ้วน พรหมจักร ก็ได้เชิญสมเด็จพระเทพฯ ออกไปรำม่วนชื่นกันที่ลานกลางงาน สองเพลงกับการรำม่วนชื่นของท่านทำให้แขกในงานละสายตาจากอาหารบนโต๊ะมายืนแออัดกันตรงลานกลางงานอย่างล้นหลาม ทุกคนมีแต่รอยยิ้มบนใบหน้า ขณะนั้นเราอยากออกไปรำม่วนชื่นกับท่านมาก ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำ เท่านั้นยังไม่พอท่านยังขึ้นเวทีร้องเพลงลาวร่วมกับ ฯพณฯ อ้วน พรหมจักรด้วย เป็นภาพที่รับรองได้ว่าคนไหนที่ได้เห็นแล้วต้องจำมิรู้ลืม เราก็จะจดจำภาพนั้นไปตลอด

เวลา 21.30 สมเด็จพระเทพฯเสด็จกลับ สองชั่วโมงที่ได้อยู่ในงานเดียวกับท่าน เห็นแต่รอยยิ้ม แสดงออกถึงความเป็นกันเอง กลมกลืนกับวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี คนอื่นอาจคิดว่าแค่สองชั่วโมงเอง แต่เรากลับคิดว่าท่านอยู่ตั้งสองชั่วโมงเชียวหรือรู้สึกเป็นเกียรติมาก

แม้ว่าสมเด็จพระเทพฯจะเสด็จกลับแต่งานก็ยังไม่เลิกแขกในงานยังม่วนชื่นกันต่อ พวกเราก็พากันม่วนชื่นย้ายไปนั่งโต๊ะใกล้ ๆ กับลานกลางเวที มีออกไปเต้นบ๊าสสโลปกับ หนุ่ม-สาวในงานด้วย และถ่ายรูปกันอย่างครื้นเครง

พวกเราเข้าไปทักทายคุณจาตุรนต์ ฉายแสง เข้าไปแนะนำตัวแต่ที่น่าแปลกใจคือท่านจำเราได้ด้วย และฝากความระลึกถึงอาจารย์พันธุ์ทิพย์ด้วย

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อได้เวลาอันสมควรประมาณ 22.15 น. พวกเราก็พากันไปล่ำลาฯพณฯ อ้วน พรหมจักร และท่านสมจิตต์ ต่างก็อวยพรให้ศีล ให้พรกับพวกเรา ความรู้สึกนี้เหมือนท่านเป็นญาติผู้ใหญ่เราคนหนึ่งไปแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ทุกการตัดสินใจย่อมมีทั้งดีและไม่ดี แต่จะไม่มีถูกหรือผิด และการตัดสินใจเข้าร่วมงานสะบายดีปีใหม่ไทย (บายศรี เทศกาลสงกรานต์ 2554) ครั้งนี้ เราบอกได้อย่างดัง ๆ ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีอีกเรื่องในชีวิตของเรา

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 435486เขียนเมื่อ 16 เมษายน 2011 00:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 15:26 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท