สวัสดีครับ คุณเออ เนอะ
ยินดีมากครับที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ผมเคยนั่งนิยามคำว่า "โง่" ครับว่า มันหมายถึงอะไรกันแน่ และมันเป็นคำที่ตรงข้ามกับคำว่า "ฉลาด" จริงๆหรือเปล่า ตอนเด็กๆเวลาใครมาว่าผมโง่ ผมจะรู้สึกไม่ดี โกรธเขามากๆเลย จนเติบโตมาผมจะไม่พยายามใช้คำนี้กับใคร โดยเฉพาะกับคนด้วยกัน นับวันผมก็ยิ่งมั่นใจครับว่า มนุษย์เราทุกคนมีศักยภาพในตัวเองพอที่จะทำให้ตนเองนั้นหลุดพ้นจากความ "โง่" ไปได้ แล้วผมก็พบความจริงว่าแท้จริงแล้วผิดชอบชั่วดี คนเราทุกคนรู้หมดครับ แต่หากเรายังยอมทำตามสัญชาติญาณดิบที่มันมาคอยกระตุ้นอยู่ทุกขณะจิต คนเราก็จะตกในสภาวะที่ด้อยปัญญาได้ทุกขณะจิตเช่นกัน
วิธีเอาชนะความด้อยปัญญาอย่างหนึ่งก็คือ การใช้กลยุทธ์หนามยอก ก็ต้องเอาหนามนั้นแหละบ่งออก ลองดูนะครับวิธีการของผมเองไม่สงวนลิขสิทธิ์ ผมเรียกมันว่า "การโง่แบบรู้เท่าทันความโง่ของตัวเอง" อย่าให้มันรู้ทันเราอย่างเดียว เราต้องรู้ทันมันด้วย แกล้งโง่แบบสุดๆหลุดๆไปเลย แล้ววันหนึ่งความฉลาดและรู้เท่าทันจะเข้ามาแทนที่ เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่ผมได้กับตัวเองครับ เรื่องมีอยู่ว่าผมจะเป็นคนชอบทำอะไรเป็นแบบแผน และเป็นรูปแบบเดิมๆเสมอ เวลาขับรถผมก็จะใช้เส้นทางเดิมๆ ไป-กลับทุกวัน เพราะคิดไปเองว่ามันเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดแล้ว ไม่ต้องอ้อม ดูเหมือนผมจะมีเหตุผลที่ฉลาดนะครับ แต่วันหนึ่งบังเอิญผมหลุดออกนอกเส้นทางขับไปขับมาก็ไปไม่เป็นเลยครับไม่รู้จะกลับอย่างไร ก็สุ่มๆไปตามป้ายบอกทางคิดว่าไม่เป็นไรนะคงไม่หลงหรอก ขับไปขับมามาโผล่ออกถนนเส้นหลักที่กลับทุกวัน มีความรู้สึกงงเล็กน้อยว่ามันมาโผล่ที่นี่ได้ไงเนี่ย แต่ผมมีความรู้สึกว่ามันเร็วและไวกว่าเส้นทางประจำที่ผมเคยใช้ วันต่อมาลองจับเวลา และระยะทางดูปรากฎว่า ระยะทางลดลงไป ๕ กิโลเมตร (มันเป็นเส้นทางลัดที่ไม่ค่อยมีใครเขาใช้กัน)
บางที่การที่เราคิดว่าเราฉลาดที่สุด มันอาจกลายเป็นความโง่ที่สุด และขณะเดียวกันการที่เรารู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรโง่มากๆ มันอาจกลายเป็นความฉลาดที่สุดได้เช่นกันครับผม ผมเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า การดีดกลับไปกลับมาของสิ่งที่สุดโต่ง แต่หากจะให้ดีที่สุดตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ก็คือ การค้นหาทางสายกลางให้พบ แล้วทราบไหมครับว่า ตรงกลางระหว่างความโง่ และ ความฉลาด คืออะไร?
ขอบคุณสำหรับการเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะครับผม