ดร. อาจอง ได้กล่าวถึงปลายทางการศึกษาของเยาวชนควรจบลงด้วยการมีอุปนิสัยที่ดีงาม แต่ในยุคปัจจุบันการศึกษากำลังเฟื่องฟู สถาบันการศึกษาเกิดขึ้นมากมาย แต่คุณภาพความเป็นมนุษย์ห่างไกลจากคำว่า “ คุณธรรมความดีงาม ” เข้าไปทุกที สาเหตุอาจเนื่องมาจากปัจจุบันสังคมมีการแข่งขันกันแทบทุกด้าน ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ไม่ใช่แข่งขันกันเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น แต่รวมไปถึงเยาวชนในวงการศึกษา ซึ่งปกติแล้วเยาวชนที่อยู่ในวงการศึกษาควรจะบ่มเพาะความดีงาม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กลับพบว่ามีการแข่งขันแทรกอยู่ในโรงเรียนมุ่งสร้างแต่นักเรียนเก่ง เพื่อแข่งขันทักษะทางด้านวิชาการ มอบรางวัลและยกย่องนักเรียนที่ไปแข่งขันแล้วชนะได้รางวัล เด็กที่ทำคะแนนสูง อีกทั้งยังมีการแข่งขันสอบเข้าโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงทำให้นักเรียนห่างไกลความเป็นมนุษย์ คุณธรรมความดีงามที่ควรจะมีอยู่ในจิตสำนึกของเด็ก เพราะฉะนั้นเราควรหันมาทบทวนบทบาทของตัวเราเองเริ่มตั้งแต่ ครูบาอาจารย์และที่สำคัญที่สุดคือตัวของเขาเองว่าจะตอบคำถามว่า เป้าหมายที่แท้จริงเราผู้เป็นครูควรมอบอะไรให้เด็ก คำถามแรกคือ
สิ่งที่การศึกษาควรมอบให้แก่เด็กๆ คือ การศึกษาไม่ควรมุ่งมั่นให้เด็กแข่งขันช่วงชิงในด้านการเป็นคนเก่ง ในทางตรงกันข้ามการศึกษาจะต้องช่วยให้มนุษย์เป็นคนดี มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสงบสุข การศึกษาไม่ใช่แค่สอนให้เรามีความสามารถในการทำงานเพื่อประกอบอาชีพเท่านั้น แต่ควรสอนให้เรารู้จักเส้นทางไปสู่การมีชีวิตที่สมบูรณ์ เห็นถึงคุณค่าความดีงาม มากกว่าความเก่งและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สามารถออกสู่สังคมได้ ผู้ที่เป็นปูชนียบุคคลจึงควรตอบคำถามประเด็นต่อไปนี้ เราอยากให้เด็กของเราเป็นคนแบบไหน เราได้สอนอะไรให้แก่เด็กบ้าง
สิ่งที่ผู้เป็นปูชนียบุคคลต้องการให้เกิดขึ้นกับเยาวชนคือ ความเป็นเลิศของมนุษย์ มีอุปนิสัยที่ดีงาม
นั่นก็คือ ความประพฤติชอบ ความสงบ ความจริง ความรักความเมตตา การไม่เบียดเบียน คุณค่าหลักทั้งห้าประการนี้ควรนำไปบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอน เพื่อเป็นการบ่มเพาะยกระดับจิตสำนึกของเด็กให้ถึงระดับสูงสุด ซึ่งพัฒนาเด็กๆ ในทุกๆ ด้านไปพร้อมกัน อีกทั้งเป็นโอกาสดีที่ครูและเด็กจะเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยที่ดีงามไปด้วยกัน
อุปนิสัยที่ดีงามทั้งห้าประการเมื่อหล่อหลอมรวมกันจะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์ในตัวและหัวใจของเด็ก คุณครูและพ่อแม่ควรสอนให้เด็กรู้จักใช้มือของเขาทำแต่สิ่งที่ดี ช่วยเหลือผู้อื่น และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้จักใช้ลิ้นและปากพูดแต่ความจริงพูดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ และใช้คำพูดที่มีความอ่อนหวานเต็มไปด้วยความรักความเมตตา สอนให้ใช้หูฟังแต่สิ่งที่ดี ใช้ตามองแต่สิ่งที่ดี และเห็นบทเรียนจากสิ่งที่อยู่รอบตัว การประพฤติชอบจึงเป็นการป้อนข้อมูลที่จำเป็นและสำคัญให้กับจิตสำนึก เพื่อที่จะยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ความประพฤติชอบจะสร้างโปรแกรมที่สำคัญให้กับชีวิตของเราและทุกสิ่งจะถูกบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึก นอกจากนี้ เด็กๆควรพัฒนาความสงบ โดยสอนให้เขารู้จักป้องกันตนเอง
ไม่ให้เกิดความโกรธ ความต้องการ ความอิจฉาริษยา ความยึดมั่นถือมั่น ความหยิ่งยโส และอารมณ์ในด้านลบ จากจิตสำนึกของตนเอง ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องสร้างความรักความเมตตาให้เกิดขึ้นในหัวใจของตนเสียก่อน เพราะความรักจะช่วยให้เกิดความสงบ เราต้องสอนเด็กให้รู้จักควบคุมตนเองและจิตใจของเขา
นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังยกตัวอย่างนิทานที่ให้แง่คิดต่างๆอย่างเช่น นิทานเรื่อง ผ้าสกปรก ( ๖๓) โดยนิทานเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า เราจะต้องกลับไปดูกระบวนการเรียนรู้ของเขา ตัวรับรู้ของเราก็คือจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็เห็นทุกอย่างสกปรกไปหมด แต่ถ้าจิตใจของเราใสสะอาดเราก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างสะอาดไปหมด ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจของเรา เพราะฉะนั้นสำหรับหน้าที่ของครูแล้ว จะต้องช่วยกันซักฟอกจิตใจของเด็กให้ใสสะอาด เพราะเมื่อจิตใจของเด็กสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เขาจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามจึงทำให้เกิดความสมดุลแห่งชีวิตจากนั้นเด็กจะเกิดการเรียนรู้แบบอัตโนมัติ
ที่มา : หนังสือคุณธรรมนำความรู้
ผู้แต่ง : ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
wdwdfwdf
goooooooooooooooooooooooooooooooo rockkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkk