ช่วงสายของวันวุ่นวาย กับงานหนึ่งที่เตรียมความพร้อมในการให้กำลังใจผู้ไข้ ก่อนที่จะจากไปอย่างสงบ เป็นเรื่องราวที่ต้องเดินต่อไปตามบทละคอนของแต่ละคน.. เรื่องราวของตัวเอกในแต่ละเรื่องหรือแต่ละโรง ของแต่ละคน!!!
อาการของคุณยายผู้สูงวัยที่เข้าโรงพยาบาลมาร่วมเดือน.. สุขภาพกายและใจดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ยังไม่สามารถที่จะกลับบ้านได้ เป็นครั้งที่สองที่ได้เข้ามาพบ ความเครียดในการพักรักษาตัวในห้องสี่เหลี่ยม เิริ่มมีมากขึ้นในลำดับ ทำให้เกิดอาการหลงลืม ลำดับความคิดและสติ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม..
คำปลอบประโลมที่อยากให้ผู้เยี่ยมไข้ผู้เป็นลูก... น้ำคุณแม่ไปพักรักษาตัวที่บ้านเดิม..หลายครั้งที่พยายามพูด ในที่สุดจากก้นบึงของหัวใจผู้เป็นลูกชาย ดีกรีมหาเปรียญ วัยหกสิบต้นๆ ที่สอนหนังสือในทางธรรมโดยไม่รับเงินเดือน ไม่สนใจในค่าตอบแทนในการสอนมากว่าสี่สิบปี..
"ผมเอาท่านกลับไปไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าไม่มีใครช่วยดูแล และทางบ้านก็สกปรก ไม่สว่างและสะอาดเหมือนที่นี่.. ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลย.."
คำแถลงจากปากของผู้เป็นลูกชายคนหนึ่งในสายมารดา อัดอั้นน้ำตาซึม ด้วยความที่ทางบ้านมีลูกหลานเยอะ แต่ออกเรือนไป และต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครมาช่วยดูแลผู้เป็นแม่ได้เต็มที่ นอกจากลูกมหาเปรียญเพียงคนเดียว
การเข้ารักษาตัวของผู้เป็นแม่ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการนำเข้ารักษาไกลบ้านที่สุด กว่าสองร้อยกิโลเมตรจากบ้าน.. เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่มีหลานสาวเป็นหมอใหญ่ มีลูกชายเป็นนักกฎหมายใหญ่โต.. แต่ผู้่เป็นแม่อาการไม่ดีขึ้นเลย.. ด้วยความคาดหวังจะมาเที่ยวหาลูกชายผู้ัมีหน้าที่การงานใหญ่โตในจังหวัด เพื่อจะมาพักผ่อนให้หายไข้.. แต่ตรงกันข้ามรถที่นำมา พาเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล ไม่ได้พาเข้าบ้านทางทิศปลายตืน(ทางใต้).. ความฟูมฟาย และอาการเครียดในการที่จะไปเยี่ยมเยียนสะใภ้และหลานสาวยิ่งถมทวี..
ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านและหรือภาษาหมอทางจิตวิทยา คงจะเรียกว่า "รักษาผิดสูตร" อันนี้เป็นความต้องการของผู้เป็นลูกหลาน มิใช่คำเสนอของหมอใหญ่แต่อย่างใด.. ผู้อ่านนำไปคิดต่อน่ะว่า ใคร น่าสงสารและเห็นใจ และใคร...ที่เจ็บช้ำที่สุดในเหตุการณ์นี้...
ไม่มีความเห็น