เฉลิมลาภ ทองอาจ
ในการประชุมนานาชาติว่าด้วยการปฏิรูปหลักสูตรและการนำไปใช้ในศตวรรษที่ 21 ณ กรุงอิสตันบูล ประเทศตรุกี ในปี 2005 ได้มีการนำเสนอบทความที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งคือ บทความเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรคือการเรียนรู้: การแสวงหาแนวทางที่ดีกว่าในการนำหลักสูตรไปใช้” Curriculum change as learning: In search of better implementation ซึ่งเรียบเรียงโดย Pasi Sahlberg เจ้าหน้าที่ด้านนโยบายการศึกษาของธนาคารโลก บทความเรื่องนี้ ได้เสนอมุมมองที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ซึ่งโดยผิวเผินแล้วอาจมองว่าเป็นเรื่องยากหรือซับซ้อนว่า แท้ที่จริงการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรก็คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสอน และการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราได้เคยปฏิบััติกันมาอย่างชาชินนั้นก็คือ "การเรียนรู้" ซึ่งก็ไม่ผิดนักว่า การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรจะเพิ่มอัตราการเรียนรู้ทั้งของผู้เรียนและครู สำหรับสาระสำคัญในบทความ Sahlberg ได้กล่าวถึงประเด็นที่สำคัญในการนำนวัตกรรมหลักสูตรไปใช้ว่า โดยทั่วไปมักจะเกิดช่องว่างระหว่างหลักสูตรที่พึงประสงค์กับหลักสูตรที่นำไปปฏิบัติจริง ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ โดยนัยนี้ ผู้เรียนบทความจึงให้ความสำคัญกับการนำหลักสูตรไปใช้ว่าเป็นการเรียนรู้เช่นเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล ทั้งนี้สามารถสรุปสาระสำคัญของบทความได้ใน 3 ประเด็นดังนี้
1. การพัฒนาหลักสูตรให้ประสบความสำเร็จ บุคลากรที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง (change knowledge) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงในระดับต่างๆ ของสถานศึกษาเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย ผู้นำการศึกษาและครูต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในฐานะที่เป็นการเรียนรู้ เมื่อพิจารณาการเรียนรู้ในมุมพฤติกรรมนิยม การเปลี่ยนแปลงหรือการเรียนรู้ในบุคคลจะเกิดขึ้นจากการที่อินทรีย์ตอบสนองต่อสิ่งเร้า เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงด้านหลักสูตร สิ่งเร้าหรือปัจจัยนำเข้าจึงได้แก่นวัตกรรมหลักสูตร ซึ่งจะเข้าไปมีอิทธิพลต่อโครงสร้างของโรงเรียน และผลที่เกิดขึ้นคือการตอบสนองของผู้ใช้หลักสูตรในระดับต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูในระดับปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามแนวคิดพฤติกรรมนิยมมุ่งมองพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่สามารถสังเกตได้ แต่ในการนำหลักสูตรไปใช้ ควรที่จะพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในระดับค่านิยม พฤติกรรมของครูที่แสดงออกมา เช่น การเข้าอบรมเกี่ยวกับการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร จึงยังไม่อาจรับประกันได้ว่า การนำหลักสูตรไปใช้จะประสบความสำเร็จ เหตุเพราะมิได้พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในบุคคลอย่างแท้จริง ผู้เขียนบทความจึงให้ความสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงในระดับค่านิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับครูผู้สอน
2. การเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์เกี่ยวกับด้านหลักสูตร การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านเนื้อหาของหลักสูตร ทำให้หลักสูตรส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหา และมุ่งเน้นในด้านการกำหนดผลผลิตที่ควรจะเกิดขึ้นต่อผู้เรียน หลักสูตรจึงมีฐานะเป็นหลักสูตรผลผลิต (curriculum as product) ผู้เขียนบทความเห็นว่าหลักสูตรที่เน้นผลผลิตเป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างมีความตายตัว หรือเป็นหลักสูตรเชิงเทคนิค และมุ่งประเมินผู้เรียนตามวัตถุประสงค์โดยเฉพาะต้องเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ หลักสูตรกลุ่มนี้เช่น หลักสูตรเนื้อหา (content-rich curriculum) หลักสูตรอิงมาตรฐาน (standards-based curriculum) ผู้เขียนบทความเห็นว่าจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับหลักสูตรเชิงกระบวนการ (curriculum as process) และในการนำไปใช้จะต้องใช้วิธีการต่างๆ ได้แก่ 1) ทำให้บุคลากรเกิดความตระหนักว่าหลักสูตรใหม่มีความสำคัญและมีความจำเป็น 2) สร้างความเข้าใจกระบวนการการเปลี่ยนแปลงว่าจะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา 3) การสร้างเสริมศักยภาพด้านการนำหลักสูตรไปใช้แก่บุคลากร 4) พัฒนาวัฒนธรรมในการประเมิน 5) ใช้วิธีการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอนและวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนจำเป็นจะต้องใช้วิธีการเฉพาะ การฝึกอบรมครูประจำการให้มีความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรจึงยังไม่เพียงพอ เพราะแท้ที่จริงการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรหรือการนำหลักสูตรไปใช้ มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูป การสอนและวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เขียนบทความจึงให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนแห่ง การเรียนรู้ (learning communities) เพื่อเปิดโอกาสให้ครูได้เรียนรู้จากการสังเกตจากเพื่อนครูและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ
จะเห็นได้ว่าแนวคิด “การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรคือการเรียนรู้" ของ Pasi Sahlberg นั้นได้สร้างความเข้าใจที่ชัดเจนว่า แท้ที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรคือการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่กล่าวนี้ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวของครู การเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนรู้ของผู้บริหารตลอดจนการเรียนรู้ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกๆ ฝ่าย และการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ทุกๆ ฝ่ายที่กล่าวมาจะต้องเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง จากการอ่านบทความดังกล่าวจึงทำให้เห็นพื้นฐานสำคัญในการที่จะนำหลักสูตรไปใช้ว่า จะต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคคลากรฝ่ายต่างๆ ว่า เมื่อมีการใช้หลักสูตร จะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบโครงสร้างบริหาร โครงสร้างเวลาเรียน เนื้อหาและวิธีการเรียนการสอน ตลอดจนวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นมิได้ทำให้เกิดผลกระทบเสียหาย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งนำไปสู่การพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
ผลการนำหลักสูตรไปใช้แต่เดิมมักพิจารณาจากผลที่สามารถสังเกตได้ เช่น การจัดทำเอกสารหลักสูตร ผลสัมฤทธิ์และระดับคะแนนของผู้เรียน แต่มิได้คำนึงว่าหลักสูตรนั้นจะส่งผลกระทบในด้านจิตใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ผู้เขียนบทความให้ความสำคัญต่อการศึกษาผลกระทบเพราะเป็นการเรียนรู้ในระดับจิตพิสัย คือ การเห็นคุณค่าของนวัตกรรมหลักสูตร ความรู้สึก ความคิดเห็นที่มีต่อหลักสูตร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของรูปแบบการนำหลักสูตรไปใช้โดยใช้ความสนใจเป็นฐาน (concerns-based adoption) อันเป็นรูปแบบที่อธิบายระยะในการยอมรับนวัตกรรมของครู ซึ่งระดับสูงสุดคือ การให้ความสนใจต่อนวัตกรรมหลักสูตรในฐานะที่นวัตกรรมนั้นจะส่งผลต่อผู้เรียนอย่างไรบ้าง ด้วยเหตุนี้ การจะวัดประเมินจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญเพราะการประเมินด้านจิตพิสัย ดังที่ผู้เขียนกล่าวว่า จำเป็นจะต้องสร้างวัฒนธรรมในการประเมิน เพราะครูและบุคลกรที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทของการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ครอบคลุมพฤติกรรมการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ซึ่งด้านที่ผู้เขียนบทความเห็นว่า ควรให้ความสำคัญคือด้านจิตพิสัย ซึ่งจะต้องอาศัยการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ อันเป็นวิธีที่จะต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย การนำหลักสูตรไปใช้จึงมิได้มุ่งมองผลลัพธ์ด้านผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้เรียนอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาผลกระทบของหลักสูตรต่อความรู้สึกของผู้เรียนด้วย
ประเด็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจและเป็นแนวคิดที่จะช่วยให้การนำหลักสูตรไปใช้มีประสิทธิภาพ สถานศึกษาควรที่จะมีเครือข่ายเพื่อเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เริ่มตั้งแต่การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร และการออกแบบหลักสูตรว่า สถานศึกษาอื่นๆ นั้นมีวิธีการดำเนินการอย่างไร ขณะที่นำหลักสูตรไปใช้เกิดปัญหาอย่างไรหรือไม่ และโรงเรียนแห่งอื่นๆ มีวิธีการจัดการหรือแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร การสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนาและร่วมนิเทศ จะทำให้การนำหลักสูตรไปใช้ประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามผู้เขียนเห็นว่า นอกจาการทำให้ครูตระหนักและเห็นคุณค่าและความสำคัญของนวัตกรรมหลักสูตรแล้ว การให้การสนับสนุนในด้านการฝึกอบรมและพัฒนาครู จากหน่วยงานของรัฐจะต้องมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ หากเปรียบเทียบกับในประเทศไทยก็จะพบปัญหาคือ การฝึกอบรมบุคลากรเกี่ยวกับหลักสูตรจะดำเนินการในลักษณะที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดมาตรฐานต่อประเด็นต่างๆ ในหลักสูตรที่แตกต่างกันออกไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในประเด็นหัวข้อเดียวกัน แต่ผู้จัดทำหลักสูตรในระดับปฏิบัติการของสถานศึกษาแต่ละแห่ง ตีความหัวเรื่องและกำหนดเกณฑ์ การประเมินแตกต่างกัน ทำให้เกิดปัญหาว่าจะใช้มาตรฐานใด เป็นต้น หน่วยงานภาครัฐจึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างมาตรฐานในด้านคุณภาพของการตรวจสอบการฝึกอบรมบุคลากร ทั้งนี้จะต้องปรับเปลี่ยนความคิดของผู้เข้ารับการอบรมด้วยว่า นวัตกรรมหลักสูตรนั้นมีจุดหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงการสอนและวิธีการเรียนของผู้เรียน เพราะสิ่งที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ได้มีการวิจัยหรือพิสูจน์แล้วว่า ไม่สามารถทำให้ผู้เรียนมีคุณภาพบรรลุตามเจตนารมณ์หรือเป้าหมายของหลักสูตรได้ การทดลองและวิจัยวิธีการใหม่ๆ ที่นำเสนอในนวัตกรรมหลักสูตรในรูปของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ จะเป็นวิธีการสำคัญที่ทำให้บุคลากรเกิดการยอมรับ และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อและค่านิยมที่มีต่อนวัตกรรมหลักสูตร กระทั่งสามารถนำหลักสูตรไปใช้ได้อย่างไม่รู้สึกขัดแย้ง ซึ่งผลจากการปฏิบัติด้วยความรู้สึกดังกล่าว จะทำให้การเรียนการสอนของครูมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยธรรมชาติ ผู้วิพากษ์จึงมีความเห็นด้วยกับผู้เขียนบทความว่าการสร้างค่านิยมและการสร้างความตระหนักของบุคลากรทุกฝ่าย เป็นพื้นฐานก้าวแรกที่นำมาซึ่งความสำเร็จในการใช้นวัตกรรมทางการศึกษาทั้งปวง
_____________________________
ที่มา
Selected conference paper: Curriculum reform and implementation in the 21st century (International Conference on Curriculum Reform and Implementation in the 21st century: Policies, Perspectives and Implementation) June 8-10, 2005 Istanbul, Turkey
การเรียนเพิ่มขึ้นหากมีการปรับปรุงและพัฒนา