มีน้อยครั้ง นักในปัจจุบันนี้ ที่จะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ท่องบทอาขยานตามทางเดินในโรงเรียน หรือนั่งท่องในห้องเรียนช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ทั้งๆ ที่บรรยากาศของการเรียนการสอน หรือบรรยากาศในโรงเรียน (ในสมัยก่อน) สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือเสียงที่เด็กๆ ตั้งใจท่องบทอาขยานอย่างขมักเขม้น ท่องๆๆๆๆ จนมีใครเคยพูดไว้ว่า "ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง" แต่บรรยากาศในปัจจุบันนี้กลับไร้สุ่มเสียงที่มีชีวิตชีวาเช่นนั้น กลับมีเสียง "กดบี" หรือที่เรียกอีกอย่างว่าการแชทบีบีแทน
เมื่อครูเข้าห้องเตรียมที่จะมีการเรียนการสอน ก็จะเรียกสมาธิของเด็กโดยการให้ท่องบทอาขยานทุกครั้งเพื่อเป็นการกระตุ้นความจำ หรือเป็นการซ้อมก่อนการสอบท่องอาขยานจริงๆ ในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า ครูหวังให้เด็กทุกคนรีบหยิบหนังสือและกุลีกุจอเปิดไปหน้าที่มีบทอาขยานอยู่ เพื่อทำการท่องให้จำ จำไปเพื่อสอบ ทั้งหมดก็เพื่อตัวนักเรียนเอง แต่ในปัจจุบันนี้สิ่งที่ครูได้รับคือ "จารย์ ไมต้องท่องอ่ะ" "ท่องแล้วเป็นนายกฯ ป่าวจาร" เป็นต้น แล้วก็ก้มหน้าก้มตา "กดบี" ในมือ เพื่อบอกเพื่อน (ที่อยู่ในห้องเดียวกัน) ว่าได้พูดจากวน...อาจารย์
เมื่อถึงเวลาสอบจริงก็ใช้เจ้าบีเพื่อนคู่กายถ่ายรูปหน้าที่มีบทอาขยานไว้และเปิดดูเวลาท่อง คงคิดว่าครูบาอาจารย์จะโง่ ตามไม่ทันเทคโนโลยี หรือจะสังเกตพฤติกรรม "ตื้นๆ" ของเด็กเวลาที่คิดจะโกงข้อสอบไม่ได้ เมื่อถูกจับได้อาการออกทันที จะเป็นจะตาย ไม่ได้มาจากการถูกจับได้เรื่องการโกงข้อสอบหรือไม่ได้ห่วงเรื่องคะแนนและอานาคตในการเรียนต่อ แต่มาจากการที่โดนยึดโทรศัพท์คู่ใจ สรุปว่าเลยไม่เป็นอันสอบ
ไม่อยากให้วัฒนธรรม (ขอเรียกว่าการท่องอาขยานเป็นวัฒนธรรม) ที่กระทำสืบต่อมาหลายยุคหลายสมัย สืบต่อมาจากบรรพบุรษ สู่พ่อแม่ สู่รุ่นลูก และจะต่อไปสู่รุ่นหลาน ต้องถูกละเลยจากเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังและอนาคตของชาติต่อไป หรือจะเถียงว่า "นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน หรือแม้แต่คนใหญ่คนโตของบ้านเมืองเรา ไม่เคยท่องอาขยานมาก่อน?"
ไม่มีความเห็น