....อะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปอย่างใจ หยุดกาย หยุดวาจาของเราให้นิ่งเสียก่อน ท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยสอนให้อมน้ำมนต์ ท่านเล่าว่า มีสองครอบครัว บ้านอยู่ติดกัน ครอบครัวหนึ่งอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข พูดอะไรก็ปรองดอง ฟังเหตุฟังผลกัน แต่อีกครอบครัวหนึ่งมีเรื่องทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน
วันหนึ่งภรรยาของบ้านที่ทะเลาะกันไปหาอีกบ้านหนึ่ง ถามว่า คุณพี่ทำยังไง คุณพี่ผู้ชายถึงไม่ทะเลาะด้วย บ้านนี้ได้โอกาสก็บอกว่า พี่มีน้ำมนต์ อาจารย์กำชับว่า ถ้าจะให้ศักดิ์สิทธิ์ต้องอมไว้ในปาก พอคุณผู้ชายกลับเข้าบ้านมาค่อยอมน้ำมนต์ ระหว่างที่คุณผู้ชายอยู่ในบ้าน คอยระวังอย่าให้น้ำมนต์กระฉอกออกจากปากเป็นอันขาด เผลอกลืนลงไปก็ไม่ได้ แล้วรับรองทุกอย่างจะเรียบร้อย ว่าแล้วก็ไปเอาน้ำมนต์ใส่ขวดมาให้
ภรรยาบ้านนั้นรับไปแล้วก็ดีใจ เราได้ของวิเศษมาแล้ว พอสามีกลับบ้านก็อมน้ำมนต์เอาไว้ เมื่ออมน้ำมนต์ไว้ กลืนก็ไม่ได้ กระฉอกหกก็ไม่ได้ เลยพูดไม่ได้ พอสามีบ่นว่าอะไร ทั้งๆ ที่ใจอยากเถียง แต่ความที่คอยระวังน้ำมนต์ ก็ต้องยิ้ม สามีก็นึก อือ วันนี้เมียเราน่ารัก บ่นกับคนที่เขาไม่บ่นตอบ ไม่เห็นสนุกเลย ก็เลิกบ่น เลยไม่มีเรื่องกัน ก็แสดงว่า น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
...ท่านถามว่า ที่เราไปโกรธ ไม่ได้อย่างใจ เพราะเสียงพูดของเขาหรือเพราะใจของเราไปแปลความหมายคำพูดนั้น ท่านบอกสมมุติเขาพูดอย่างเดียวกับคำที่เขาด่าว่าเรานี่ แต่เขาพูดเป็นภาษาเขมรเสีย เราแปลไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง เราจะโกรธเขาไหม
เราไม่โกรธ บางทีอาจยิ้มด้วยซ้ำไป นึกว่าเขาให้พร เพราะเสียงมันสูงๆ ต่ำๆ เพราะดี ท่านบอกเวลาเราจะโกรธ ให้นึกว่าเขาพูดภาษาเขมร เอาสติกำกับใจ นึกพุทโธเอาไว้ นึกว่าเขาให้พรเรา อย่าไปคิดแปลความหมายคำพูดเหล่านั้น
มันไม่ใช่คำพูดของเขาที่ทำให้เราเครียด แต่เพราะใจเราเอาอุปาทาน เอาสัญญาเก่าๆ ไปปรุงไปแต่ง ไปแปลความหมาย แล้วก่อกวนให้ตัวเองนั่นแหละทุกข์ ตัวเองนั่นแหละเดือดร้อน แล้วพอทุกข์พอเดือดร้อนแล้ว ก็ยังไม่มีสติพอจะรักษาใจตัวเอง ปล่อยให้กาย ให้วาจา ตอกเขาออกไปเป็นอกุศลกรรม ก่อวิบากที่ต้องชดใช้ เป็นหนี้เป็นสินกับตัวเอง
รูปจาก รูปน้ำตาเทียนในอ่างน้ำมนต์
ที่เราไปโกรธ เพราะ..
เสียงพูดของเขาหรือเพราะใจของเราไปแปลความหมายคำพูดนั้น
จริงๆค่ะ เริ่มเห็นด้วยแล้ว
ยินดีที่ได้รู้จักครับ