ประสบการณ์ชีวิตสอนผมว่า โอกาสที่หลุดลอยในเส้นทางชีวิตคนเรา (และองค์กร) เป็นทั้งโอกาสที่เรามองไม่เห็น และโอกาสที่เราปฏิเสธมัน
ผมคิดว่า โอกาสที่หลุดลอยมีมากกว่าโอกาสที่เราคว้ามันไว้ นับเป็นสิบเป็นร้อยเท่า แม้ในชีวิตของคนจน หรือคนที่เราถือว่าอยู่ในกลุ่มคนด้อยโอกาสก็ไม่เว้น
คนเรา (และองค์กร/ประเทศ) มีโอกาสมากมาย บางเรื่องแฝง (ปลอม) ตัวอยู่ในสภาพของปัญหา หรือวิกฤต เราแปลงวิกฤตเป็นโอกาสไม่เป็น หรือมืดบอดในการมองปัญหาเป็นโอกาส โอกาสนั้นก็ผ่านเลย หรือหลุดลอยไป
จริงๆ แล้วสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” นั้น ไม่มีตัวตน ไร้ร่องรอย หากไม่มีเป้าหมายหรือเจตนา หรือแรงบันดาลใจ หรือไฟในหัวใจ ที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อไม่มี “ไฟ” ในชีวิต ก็ไม่มีเป้าหมายของชีวิต หรือมีไม่ชัดเจน “โอกาส” ก็ไม่เกิด หรือมองไม่เห็นโอกาสที่มีอยู่เป็นธรรมดา เกิดสภาพ “โอกาสหลุดลอยไป”
ประสบการณ์บอกผมว่า การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีไฟลุกโชนในหัวใจอยู่ตลอดเวลา เป็น “การเรียนรู้” ที่สำคัญยิ่ง สำคัญกว่าการเรียนวิชาความรู้โดยทั่วไป ไอน์สไตน์เรียกสิ่งนี้ว่า imagination (จินตนาการ) และกล่าวว่า Imagination is more important than knowledge.
แต่คนที่มีไฟในหัวใจลุกโชน ก็อาจปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เพราะมีม่านบังตา มองไม่เห็นโอกาส ม่านนั้นคือ ตัณหา (โลภะ โทสะ โมหะ) บดบังปัญญา ที่จะใช้ตรวจสอบโอกาสนั้น สำหรับคนมีการศึกษาและเป็นที่ยอมรับนับถือ ม่านบังตาที่สำคัญคือความรู้และความหลงตัว ทำให้ปฏิเสธหรือมองไม่เห็นโอกาสนั้น
ความหลงตัว ถือตัว (ว่าเก่ง/ฉลาด) ทำให้ไม่เสาะหาความเห็นที่ต่างจากตนเอง ไม่ขอคำแนะนำ ไม่รับฟังข้อคิดเห็นที่มองต่างมุม กับตนเอง โอกาสที่มองจากมุมของตนไม่เห็น แต่จะชัดเจนหากมองจากมุมอื่น หรือวิธีคิดแบบอื่น ก็จะหลุดลอยไป
ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น ใช้ได้กับทุกเรื่อง กับชีวิตทุกแบบ ใช้ได้กับการทำงาน กับการครองชีวิต ใช้ได้ต่อองค์กร และต่อประเทศชาติ
ผมเห็นชัดเจน ว่าประเทศไทยตกอยู่ในสภาพ “โอกาสหลุดลอยไป” ในหลากหลายเรื่อง การศึกษาเป็นตัวอย่างหนึ่ง ระบบการศึกษาถูกใช้ในการสร้างโอกาสทางการเมือง และในการแสวงประโยชน์ส่วนตน มากกว่าใช้ในการสร้างอนาคตของบ้านเมือง
วิจารณ์ พานิช
๑๙ ม.ค. ๕๔
ไม่มีความเห็น