วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ตื่นเช้าในทุก ๆวัน ...ไม่มีวันใดเลยที่ผมจะไม่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าวันนี้มีสีครามอยู่แสนไกลเกินเอื้อม...มีเมฆลอยกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า
อากาศยังคงเยือกเย็นอยู่และต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งที่จะปลุกสิ่งมีชีวิตให้
กระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จู่ ๆ ก็เกิดคำถามประจำที่ผุดขึ้นในใจของผมว่า
“ผมเขียนบันทึกประจำวันไปทำไม?”
เพราะแต่ละวันต้องใช้เวลาในการเขียนเรื่องราวของตนเองไม่น้อย ซึ่งถ้าก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่ได้มาเขียนบันทึก ณ ที่แห่งนี้ ผมต้องค้นหาคำตอบได้อย่างลำบากพอสมควร แต่ ณ เวลานี้ ผมตอบได้ว่า การเขียนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด
ทำให้ผมเข้าใจตนเอง และทำให้ผมเข้าใจคนอื่น
การเขียนบันทึกในความหมายของผม คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างน้อยเรียนรู้ที่จะเขียน และเรียนรู้การอ่านบันทึกของผู้อื่น เพราะเมื่อย้อนไปอ่านบันทึกแรก ๆ ของผม ผมรู้สึกอายมากที่ผมเขียนประโยค ข้อความ หรือเนื้อหาอย่างนั้นได้อย่างไร?
เมื่อผมได้เขียนบันทึกมากขึ้น กลับรู้สึกด้วยตนเองว่า ผมมีพัฒนาการในการเรื่องได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยสามารถเรียบเรียงประโยคให้มีความสมบูรณ์และคิดเอาเองว่า ผู้อ่านบันทึกของผม คงเข้าใจในเนื้อหาที่ผมต้องสื่อสาร
ยามเย็นของวันนี้...ท้องฟ้ายามตะวันตกดินช่างสวยงามเหลือเกิน
แต่จู่ ๆ ลมกลับพัดแรงและฝนตกโปรยปรายจนทำให้อากาศดูมืดครึ้มไปหมด
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่...ท้องฟ้าก็เงียบสงบราวกลับไม่เคยมีสายฝนรั่วมาจากท้องฟ้า...ปลุกชีวิตของผู้คนให้คึกคักขึ้นมาบนท้องถนนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อผู้คนขวักไขว่เดินทางสัญจร....สายฝนกลับส่งเสียงคร่ำครวญฟูมฟายไม่หยุดอีกครั้ง…
สายฝนช่างโลเลเหมือนหัวใจของผมที่ถูกเทให้เอียงไปเอียงมาตามแรงกระทบกระทั่ง
กับคำถามประจำที่ผุดขึ้นในใจของผมว่า
“ผมเขียนบันทึกประจำวันไปทำไม?”
นับตั้งแต่บันทึกนี้เป็นต้นไป...ผมจะไม่เอ่ยถึงประโยคนี้อีกแล้วครับ....
สวัสดีค่ะคุณทิมดาบ
พี่ก็ชอบเขียนบันทึกประจำวัน มันเป็นสิ่งที่เตือนความจำได้ดีค่ะ ว่างๆเอามาอ่านมีความสุข บันทึกแต่ละวันเราได้ทราบความเคลื่อนไหว ความรู้สึก อารมณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สะท้อนคิด
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ
สวัสดีค่ะ
ยายคิมถูกบังคับจากพ่อแม่ให้เขียนตั้งแต่ประมาณ ป.๔ ค่ะ เขียนทุกวันเป็การบ้านส่งภายในครอบครัว มีวันลืมเขียน ก็ถูกลืมค่าขนมเหมือนกันค่ะ
ต่อมาก็เลยติดเป็นนิสัย แต่การเขียนก็ว่าไปตามอารมณ์ในช่วงนั้นๆ
ส่วนการเขียนบันทึกในบล็อกนี้ แรก ๆ ก็คิดเหมือนน้องทิมดาบค่ะ ต่อมาก็เกิดผลเช่นเดียวกัน คือได้พัฒนาภาษาให้สื่อสารกับคนอ่านขึ้นทีละน้อย ๆ
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
พ พลังแห่งธรรมชาติสรรสร้างย ยามลาร้างร่วงหล่นปลิวลับหาย
อ อวดดอกผลิใหม่ขาวพราวกระจาย
ม มองแล้วคลายหายเศร้า เจ้าพยอม
..................................มีความสุขนะน้องพี่........
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ไม่เคยมีคำถามนี้กับตัวเองเลยค่ะ
เพราะได้คำตอบมาตั้งแต่เด็ก
เป็นเด็กไม่ค่อยพูด ไม่เคยเถียงผู้ใหญ่
(ตอนนี้ เปลี่ยนไปแล้วหละ อิอิ)
มีอะไรในใจ ก็จะแอบระบายลงในสมุด
จนกระทั่งวันหนึ่ง
คุณยาย แอบนำสมุดเล่มนั้นไปให้พี่ชายคนโตอ่าน
พี่บอกว่า "ไอ้น้องคนนี้ มันฉลาด"!
เป็นคำพูดที่คุณยาย ซึ่งอ่านหนังสือไม่ออก นำมาบอกต่อ
จึงเป็นความภูมิใจ และความสุขเล็กๆ ที่เราได้ให้โอกาสตนเองตลอดมาค่ะ
แต่น่าเสียดาย(ทีหลัง) ที่เผาทิ้งเสียหลายเล่มเลย แงๆๆ ^___^