ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้
ปฐมบทของเรื่องราวแห่งชีวิต จากชีวิตเด็กผู้ชายคนกลาง ในบรรดาพี่น้อง 6 คน ผมเติบโตมาจากความรักของคุณพ่อ และคุณแม่ชาวนา ที่ปีหนึ่งนั้น ต้องรอน้ำฝนจากเทวดาบันดาลเท่านั้น จึงจะได้ทำนา หากปีไหนท่านเกิดมาช้าผิดเวลาข้าวปลาก็ได้น้อย
ปีไหนมาเร็วหน่อยก็ดีไป แต่ชีวิตในวัยเด็กก็มีความสุขดีตามประสาคนบ้านนอกทั่วไป
แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือการต่อสู้ของคุณแม่และคุณพ่อ ในการเลี้ยงดูลูกๆที่มีอายุไล่เรียงกัน โดยเฉพาะเรื่องการเรียน
“ลูกเอ้ย ปีนี้พี่ชาย 2คนของเองเรียนต่อมัธยมทั้งสองคน ปีนี้เองจบป6 แล้วหยุดซักปีก่อนนะลูก เพราะว่าทางครอบครัวเรากำลังลำบากหรือว่าถ้าอยากเรียนต่อจริงๆ ก็ไปบวชเณรเรียนก็ได้”
ณ วันนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตการเรียนต่อของผมในสถานศึกษา มันคงจบลงแค่6 ปี ในชีวิตประถม ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่เรียนดีที่สุดในห้อง ตั้งแต่ประถม 1 -6 จะสลับได้ที่1 ที่2 ที่3 กับเพื่อนอีกสองคนในรุ่นเดียวกันเสมอ แต่เพื่อนสองคนนั้นได้เรียนต่อชั้นมัธยม ในตัวอำเภอ แต่ผมไม่มีโอกาสกับเขา แต่ผมก็เข้าใจพ่อกับแม่นะครับ ไม่เคยน้อยใจท่านเลย ท่านคงไม่ไหวจริงๆ จึงต้องให้ผมออกมาช่วยทำนาเป็นเรี่ยวแรงช่วยพ่อช่วยแม่ ในขณะที่พี่น้องๆเขาไปโรงเรียนกัน แต่ตัวผมต้องพาไอ้ทุยไปทุ่งนากับคุณพ่อ
ชีวิตการเรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิตของผม เริ่มตั้งแต่ผมอายุเพียง 11 ขวบกว่า ไม่ถึง12 เต็มด้วยซ้ำ เนื่องด้วยว่าผมเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ 1 ปี คุณพ่อท่านพยายามเคี่ยวเข็ญให้ผมจับไถ และคราดท้องนาด้วยสองมือ จนทำให้ผมเป็นลูกคนเดียวในตระกูลก็ว่าได้ ที่ทำนาเป็นเหมือนกับคุณพ่อ และคุณแม่
เมื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆจากคุณพ่อแล้ว สิ่งหนึ่งที่มันยังคงเป็นไฟอยู่ในตัวผมตลอดคือการเรียนรู้ การเรียนในสถานศึกษาสำหรับผมคงไม่มีอีกแล้ว ณ วันนั้น แต่การเรียนรู้เรื่องราวจากชีวิตจริงนี่สิน่าสนใจยิ่งนัก ผมพบว่าชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ ดังนั้นงานอะไรที่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเขาทำกัน ผมจะแอบศึกษาไว้ในใจเสมอ ช่วงหน้าแล้ง เขาพากันไปรับจ้างที่ไหนก็จะไปกับเขา เขาไปทำบุญที่วัดไหน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ก็จะไปกับเขา เพื่อซึมซับธรรมะ
จวบจนเวลาผ่านไปประมาณ 6 ปีเห็นจะได้พี่ชายคนโตผมก็จบมัธยมศึกษาตอนปลายที่6 แล้วเมื่อจบแล้วก็ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่งย่านพระราม2 และวันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้เข้ามาสู่กรุงเทพ อย่างจริงๆจังอีกครั้ง หลังจากที่เคยเข้ามารับจ้างเป็นลูกจ้างทำรองเท้าแถบดาวคะนองเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็กลับไปทำนาอีก แต่เที่ยวนี้ผมได้รับการฝากงานจากพี่ชายคนโต ให้ทำงานในแผนกที่เขาเรียกว่าแผนกพ่นสี คือมีหน้าที่เป็นช่างพ่นสีเฟอร์นิเจอร์ เนื้อตัวมอมแมม ในขณะทำงานต้องเปลี่ยนชุด ก่อนจะพักเที่ยงต้องอาบน้ำแล้วก็ใส่ชุดยูนิฟอร์มกลับมา ทำอยู่อย่างนั้นประมาณ 1 ปี ได้เรียนรู้เทคนิคการพ่นสีว่าเขาทำอย่างไรบ้าง
ชีวิตมาเรียนรู้อีกครั้งเมื่อพี่ชายคนรองซึ่งเรียนจบ ม. มาแล้วเช่นกันชวนไปทำงานด้านช่าง เออ น่าสนแฮะ ก็เลยลาออกไปเป็นลูกน้องของร้านตัดแสตนเลส แถวถนนเพชรเกษม คลองขวาง ทำอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ได้เรียนรู้เรื่องการเชื่อมงานด้วยแก๊ส อาร์ก้อนมาเต็มกระเป๋า ก็มีเพื่อนฝูงในร้านชวนกันไปทำงานเหมารับจ้างภายนอก ก็ลาออกไปเพื่อเรียนรู้สิงใหม่ที่ท้าทาย ได้เดินทางไปติดตั้งหุ้มเสา ทำสะพานลอยต่างๆในกรุงเทพ ทำการหุ้มเสาตึกห้างใหญ่แถวธนบุรีก็หลายห้าง ไปโรงแรมแถวพัทยา หาดจอมเทียน หรือแถบนิคมเวลโกรแถบบางพลีก็ไป ชีวิตก็ดำเนินไปเรื่อยจนถึงจุดอิ่มตัว ในการนั่งรถไปทำงาน จึงได้ลาออก
และกลับไปทำงานในบริษัทเฟอร์นิเจอร์เดิม แต่ไปสมัครในตำแหน่งช่างซ่อมบำรุง จากประสบการณ์ที่ออกมาเรียนรู้จากภายนอกก็ได้เข้าไปเรียนรู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับงานช่าง เพิ่มเติม เช่นการเชื่อมไฟฟ้า การทำแม่พิมพ์ การกลึงชิ้นงาน แม้จะไม่เก่งนัก แต่ผมก็ถือว่าผมได้เรียนรู้จาก ณ สถานที่แห่งนี้ที่ให้ผมได้มีโอกาศศึกษา และเรียนรู้จากงานจริงๆ
แต่ชีวิตก็มาผกผันอีกครั้ง ทำให้ชีวิตผมต้องได้ออกจากงานและกลับไปอยู่บ้านนอกอีก แต่ด้วยความลำบาก ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน และอยากช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ทำให้ผมต้องบากหน้ากลับมากรุงเทพอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้จะกลับไปที่บริษัทเดิม ก็กระไรอยู่ เข้าออกสองครั้งแล้ว คงไม่เหมาะแน่ ช่วงนั้นอายุถึงเกณฑ์ทหารพอดี พอจับได้ใบดำก็บากหน้ามากรุงอีกรอบแต่เที่ยวนี้ผมกลับไปหาเพื่อนเก่าที่เคยพำนักอยู่แถวหมู่บ้านเศรษฐกิจ หลักสอง บางแค
และผมก็ได้งานทำอีกครั้งในตำแหน่งช่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมก็ได้เรียนรู้ความรู้ด้านช่างใหม่คือการเชื่อมงานด้วยแก๊ส เมื่อทำงานไปได้ประมาณ ปีครึ่ง โรงงานก็ได้ขยายกิจการมายัง ณ ที่ที่ผมอยู่ในปัจจุบัน คือ สมุทรสาคร
จะด้วยด้วยความขยัน ขันแข็ง เอาการเอางานของผมหรืออะไรไม่ทราบ ทำให้ได้เลื่อนขั้นให้เป็นผู้ช่วยหัวหน้างานในส่วนของการเทสทดสอบ อยู่มาอีก 1 ปี ก็เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้างาน สั่งสมประสบการณ์การเป็นหัวหน้ามา 5 ปี ชีวิตก็พลิกผันอีกครั้งเมื่อธุรกิจ มีการแข่งขันกันด้านระบบมาตรฐานISO และทีมงานที่บริษัท ฟอร์มขึ้นมาเพื่อทำระบบกลับทำไม่สำเร็จ
หวยจึงมาตกที่ผมแบบบังเอิญอีกครั้ง เมื่อในวันหนึ่งผู้จัดการบริษัท ซึ่งเป็นน้องเขยของ MD กรรมการผู้จัดการ ได้เรียกผมเข้าไปพบและมอบหมายงานให้ผม “สืบเนื่องจากโรงงานเราจะทำระบบISO แต่เนื่องจากทีมเดิมทำแล้วทำไม่ได้ ผมให้โอกาสคุณทำดู” ว่าแล้วแกก็เขียนไกด์ให้ผมลงกระดาษA4 1 ใบด้วยลายมือว่า ไปเซ็ทระบบคิวซีให้มีขึ้นมา ไปเซ็ทระบบสโตร์ให้มีขึ้นมา และที่สำคัญไปเก็บข้อมูล และจัดทำระเบียบและวิธีการปฏิบัติงาน เอกสารสนับสนุนต่าง แบบฟอร์มต่างๆ
(ภาระช่างใหญ่หลวงนัก ทำไมเขาจึงให้เราทำหว่า ใบประกาศปริญญา เราก็ไม่มี ประสบการณ์เรื่องนี้ก็ไม่มี จะมีก็เพียงแต่วุฒิ ม. กศน. ที่ผมลืมเล่าช่วงที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพใหม่ๆเท่านั้นเอง แต่ทำไมเขาจึงให้เราทำหว่า)
แต่ชั่วโมงนั้นผมตั้งปณิธานเลยว่า ผมจะต้องทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ และบริษัทก็ได้ให้โอกาส โดยการส่งผมไปฝึกอบรมในสถานที่ต่างๆในโรงแรมดังๆ ที่เขาจัดสัมนาเกี่ยวกับระบบISO และก็ซัพพอร์ทผมด้วยการให้คอมพิวเตอร์ผมมา 1 เครื่อง
ซึ่งในชีวิตเกิดมาไม่เคยใช้ และเรียนรู้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ผมรู้แต่เพียงอย่างเดียวว่าชอบ และจะทำอย่างไรจึงจะพิมพ์เป็น จึงเฝ้าเพียรถามสาวๆออฟฟิศ และผู้รู้ต่างๆ ก็ยังไม่ได้เรื่องสักที ผมก็เปลี่ยนแนวการศึกษาเรียนรู้ ของผมมาเป็นซื้อตำรามาอ่าน
แรกๆก็หัดใช้พวกโปรแกรมออฟฟิศ ที่พิมพ์งานก็คือโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด เอกเซล ซึ่งสมัยนั้นวินโดว์ยังเป็นวินโดว์ 95 กำลัง ก้าวเข้าสู่วินโดว์ 98 และในช่วงนี้เองหลังจากที่ฝึกทำอยู่ประมาณ 1 ปี ก็พอจะจิ้มดีดเอกสารให้เป็นระบบได้ และสามารถเซ็ทระบบISO ขึ้นมาได้
และบริษัทก็ได้ใบรับรองISO : 9002 เวอร์ชั่น 1994 ในปี 2543 งานผมบรรลุแล้ว ผมได้รับผลจากความพยายามของผมด้วยตำแห่งหัวหน้างานถึง 3 แผนกคือสโตร์ คิวซี และหน่วยงานควบคุมเอกสารกลาง ขึ้นตรงกับผู้จัดการซึ่งควบตำแหน่งQMR.ด้วย
ซึ่งในช่วงที่ระบบกำลังเดิน สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจเลยก็คือเรื่องของคอมพิวเตอร์ “ เรียกว่าบ้าเข้าเส้นก็ว่าได้ ” ผมตัดสินใจซื้อตำราที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยซื้อในนามบริษัทบ้าง ซื้อด้วยตัวเองบ้าง แรกเริ่มก็เรียนรู้ประเภทพวกซอฟร์แวร์หลักๆก่อน เมื่อเริ่มช่ำชองแล้วก็ซื้อตำราเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ เริ่มถอดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง
ด้วยความที่มีประสบการณ์งานด้านช่างมา ก่อน จึงเรียนรู้ได้ง่าย และบวกด้วยใจมันรัก จึงเรียนรู้อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง และเรียนรู้เกี่ยวกับระบบปฏิบัติหลักๆ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ตั้งแต่ Windows95,98 , Me, 2000 , XP SP1,XP SP2, VISTA,Windows7,หรือแม้แต่กระทั่งลีนุกซ์ การเดินระบบเน็ตเวิร์ค การใช้อินเตอร์เนต ผมก็ศึกษาและเรียนรู้ ด้วยตนเองทั้งสิ้น จนเดี๋ยวนี้เพื่อนๆบางคนเรียกผมว่าพ่อมดไอที และผมก็ได้ตำแหน่งดูแลงานด้านไอทีอีกตำแหน่งประจำบริษัทไปโดยปริยาย
เมื่อสั่งสมประสบการณ์หลายๆปีเข้า เริ่มรู้จักแหล่งฮาร์ดแวร์ด้านไอทีและโมบายที่ตัวเองชอบ จนมาวันหนึงเมื่อสอง-สามปีก่อน ผมก็ได้หาอาชีพเสริม ด้วยความที่ผมอยากเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการค้าขาย จึงไปเปิดเป็นร้านขายประจำอยู่ในตลาดนัดที่อยู่ในซอยบ้านผม ที่ผมเก็บออม จนสามารถหาเงินไปดาวน์บ้าน และผ่อนกับธอส.เดือนละไม่กี่พัน
และนี่เองก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อีกครั้ง ซึ่งมันเป็นการเรียนรู้ในชีวิตผม ที่ผมคิดว่ามันมีความสุขที่สุดในปัจจุบัน ก็คือการเป็นพ่อค้า ซื้อมาขายไป ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากเพื่อนฝูงในโรงงานที่ทำอยู่
และที่สำคัญคือผมได้ทำงาน 2 อย่างควบคู่ไปพร้อมกันคืองานประจำ8.00น.-17.00 น. มีเงินเดือนกิน และงานขายของเป็นนายของตัวเอง อยู่ที่ตลาด 17.30 -21.00น. ทุกวัน จันทร์ถึงเสาร์ ซื้อของวันอาทิตย์วันเดียว ซึ่งรายได้มากกว่าเงินเดือนประจำผม 2 -3 เท่า
แต่ผมก็ยังอยากทำงานอยู่ที่นี่อยู่ดีเพื่อตอบสนององค์กร ผู้ให้โอกาสผมได้มีวันนี้ จนกว่าเมื่อวันหนึ่งที่องค์กรเข้มแข็งกว่านี้แล้วค่อยว่ากันใหม่
บทสรุปของเรื่องเล่าเรื่องนี้ อยากจะสรุปสั้นๆว่า การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดแต่เพียงในสถานศึกษา เราสามารถที่จะเรียนรู้จากชีวิตการทำงาน และสังคมภายนอกได้ทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกที่เรียนรู้ต่อ หรือหยุดมันไว้แค่นั้นเท่านั้นเอง
ขงจื้อกล่าวไว้ว่า “ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน”
แต่สำหรับผมแล้ว “ขยัน ด้วยลำแข้ง ไม่ต้องรอฟ้าลิขิต”
สักวันหนึ่งในภายภาคหน้า ถ้าผมได้เรียนรู้อะไรอีก ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ
ผมหวังว่า
บทความยาวเรื่องนี้คงเป็นกำลังใจให้กับคนที่ไม่มีโอกาสเรียนรู้ในรั้ววิทยาลัย
ให้ มีกำลังใจต่อสู้กันขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
.................********************************.................
อาหารสำหรับเที่ยงนี้ค่ะ
ขอบคุณ บุษราสำหรับอาหารเที่ยงครับ
อยากให้เพื่อนกัลยณมิตร และบุคคลทั่วไปได้อ่าน แบบว่าอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ
ผมคิดว่าประสบการณ์จากเรื่องนี้คง หล่อหลอมบุคคลที่ไม่โอกาศเช่นเดียวกับผมได้เเข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง
ผมว่าคุณโชคดีที่ได้รับโอกาสมากมายจากการตั้งตังใจ ไม่ทิ้งโอกาสของตนเอง
ขอบคุณครับครูพร
จากบทความหนังสือ
เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้
เราทราบกันดีว่าเศรษฐี ส่วนใหญ่มักใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด รู้จักสร้างทรัพย์สินมากกว่าก่อหนี้สิน และใช้เวลาชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด หากใครชอบอ่านหนังสืออัตชีวประวัติของเศรษฐีแต่ละคน ก็จะพบลักษณะของ Financial Blueprint ที่คล้ายๆกัน
แล้ว Always Poor Blueprint เป็นแบบไหน ใครมีลักษณะเช่นนี้ให้ระวังไว้
- รายจ่ายมีสัดส่วนเทียบเท่ารายรับ เช่น รายได้ 100% รายจ่าย 95% บางเดือนรายจ่ายอาจมีมากเกิน 100% ได้ ด้วยการกู้ยืมเงิน, ใช้บัตรเครดิต เป็นต้น
- ซื้อสินค้าเงินผ่อน เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนทีวี ผ่อนแอร์ ผ่อนมือถือ ฯนฯ
- บริโภคสินค้าที่ไม่มีประโยชน์ เช่น สุรา บุหรี่ หรือข้องเกี่ยวกับอบายมุข เช่น ติดการพนัน
- ใช้เวลาในชีวิตที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น นั่งซุบซิบนินทาเรื่องของคนอื่น นั่งคิดเมนูช็อปปิ้งเมนูอาหารมากจนเกินสมควร, นั่งเล่นแต่เกมทั้งวัน
สรุป ลักษณะของ Always Poor Blueprint คือ มักก่อหนี้สินมากกว่าสร้างทรัพย์สิน ใช้เวลาชีวิตไม่เป็นประโยชน์ และคนลักษณะนี้จะไม่มีเป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจน
นอกจากนี้ข้อเท็จ จริงคนส่วนใหญ่ มักจะลดขนาดความฝันของตัวเองให้มีขนาดพอๆ กับรายได้ แนวทางการดำเนินชีวิตจึงไม่มีแรงจูงใจที่มากพอที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัว เอง และมักจะคิดถึงแต่เรื่องในปัจจุบันเท่านั้น
กลับกัน… จะมีคนส่วนหนึ่งที่คอยสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้น มีส่วนช่วยให้ไปถึงเป้าหมายของชีวิตที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ เราจะพบว่าคนกลุ่มนี้มักจะแสวงหาโอกาสอยู่เสมอๆ มีความฝันความทะเยอทะยาน และมองเห็นภาพในอนาคตของตัวเองได้ชัดกว่าคนทั่วไป
เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ เป็นหัวข้อที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตคนเราอาจเกิดมามีลักษณะครบถ้วนสมบูรณ์แตก ต่างกันออกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุม หรือกำหนดได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมและกำหนดเองได้คือ “ความคิด”
“ความ คิด” สามารถกำหนดให้ชีวิตเป็นไปในแบบที่ต้องการได้ บางคนอาจเริ่มต้นการฝึกคิดด้วยการอ่านหนังสือ และเพิ่มพูนประสบการณ์ด้วยการฝึกทำ ซึ่งทั้งการฝึกคิดและการฝึกทำ จะทำให้เราเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ทักษะ” คนที่พูดไม่เก่ง เมื่ออ่านหนังสือบ่อยๆ (ฝึกคิด) จะมีความรู้มากขึ้น และหากบุคคลนั้นได้พูดในสิ่งที่รู้อย่างสม่ำเสมอ (ฝึกทำ) ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าทักษะในการพูด หากมีการทำซ้ำอย่างต่อเนื่องทุกๆวัน ทักษะก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นนิสัย ซึ่งจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวทำให้บุคคลคนนั้นมีความแตกต่างจากคนทั่วๆไปได้
จาก ความคิดไปสู่เป้าหมาย หรือความสำเร็จ ระหว่างนั้นจะมีสิ่งๆหนึ่งซึ่งมาคั่นกลาง เราเรียกว่า “อุปสรรค” มาถึงขั้นนี้ สิ่งที่จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆได้ก็คือ “ทัศนคติ” และ “ความเป็นผู้นำ”
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าแต่ละคนจะมีบุคคลต้นแบบอย่างน้อยหนึ่งคนในชีวิต และเขาเหล่านั้นก็จะเรียนรู้ “ทัศนคติ” และ “ความเป็นผู้นำ” ของบุคคลที่เขาให้ความยอมรับนับถือ ขั้นตอนนี้เรียกว่าการ Copy หรือการเลียนแบบ
ใครที่เคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสำเร็จ ว่าเราสามารถ Copy กันได้จริงหรือ? คำตอบก็คือ… จริงๆครับ คนที่สำเร็จจะมีเคล็ดลับการ Copy หนึ่งวิธีที่สำเร็จ มากกว่าจะค้นหาหนึ่งร้อยวิธีที่ไม่สำเร็จ และสิ่งที่ Copy ได้ง่ายๆ คือ หลักคิด และ ทัศนคติ นั่นเอง
ดังนั้น หากเลือกที่จะเป็นได้ คุณต้องการที่จะศึกษาและเลือกที่จะเป็นแบบบุคคลผู้ประสบความสำเร็จ หรือบุคคลผู้ประสบความล้มเหลวหละ?
สวัสดีค่ะคุณPeter p
ประทับใจกับชีวิตที่ต่อสู้ ชื่นชมในความสำเร็จค่ะ
อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจในการสู้ชีวิต การก้าวเดิน การเอาชนะอุปสรรคของชีวิต
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณปีเตอร์
จิตสงบ ใจสบาย กายเป็นสุข
ขอบคุณครับคุณยาย
ชื่นชมในความเข้มแข็ง พยายาม ต่อสู้และฟันฝ่า
"ทุกสิ่งทำได้ ถ้าใจมุ่งมั่น"
อ่านชื่อเรื่องก็สุดยอดแล้วครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
และขอขอบคุณอัมพร และคุณบูดาอิน ที่แวะมาเติมเต็มบล๊อกและให้กำลังใจครับ ขอบคุณจริงๆ ว่างๆ จะเเวะเวียนไปอ่านบล๊อคเรื่อยๆครับ
น่ารักมากๆครับ ชีวิตคุณคือแบบอย่างครับ
มุมมองการดำเนินชีวิต อาจถูกขีดมาให้เราต้องเดินตามอย่างที่ต้องเป็น ขอเพียงเราตั้งมั่น ทุกก้าวย่างจะผ่านไปได้เอง แม้ไม่สวยหรู แต่ก็ไม่เจ็บปวด
แวะเอาแสงแห่งไฟ มาเติมไฟแห่งฝันอีกสักวันครับ