เมื่อเร็วๆนี้ได้อ่านข่าวชิ้นหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในวงการศึกษาหน้าชื่นๆไปตามๆกัน คือ ข่าวการสอบเอนท์ตรงของนักเรียนที่จบ ม.6 ปีนี้ที่เลือกเรียนครู(ว่ากันว่า)แซงหน้าวิศวะ ในฐานะผู้ที่อยู่ในวงการครูก็พลอยเป็นปลื้มกับเค้าด้วยคนที่ปีนี้นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เด็กรุ่นใหม่ได้ให้ความสำคัญที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงการครูในอนาคต ... ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่อาจที่ปฏิเสธได้ว่าการที่วิชาชีพครูเราตกต่ำลงทุกวันนั้น..สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากวิธีการคัดคนเข้าสู่อาชีพของวงการครูเราที่ค่อนข้างจะไม่เข้มงวดสักเท่าไหร่... กล่าวคือ ตั้งแต่การคัดคนเข้าเรียนครู นักเรียนที่เรียนดีอยู่ในระดับแถวหน้าของแต่ละโรงเรียนมักจะ(ผมใช้คำว่ามักจะ) เมินที่จะเลือกเรียนครู ซึ่งเราจะไปว่าเด็กเค้าก็ไม่ได้... ในเมื่ออาชีพครูไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้ามา... ดูง่ายๆพ่อแม่ที่มีอาชีพเป็นครู..มีสักกี่คนที่ต้องการให้ลูกๆตัวเองเจริญรอยตามด้วยการเป็นครูเช่นเดียวกับตน...ถ้าเลือกได้ส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เป็นเช่นตัวเอง...ความเป็นจริงนี้...ป่วยการที่เราจะมาปฏิเสธกัน...ฉะนั้น..วิธีการหนึ่งที่จะยกระดับวงวิชาชีพครูก็คือ การที่คนที่เก่งๆเลือกที่จะมาเรียนครู แต่อย่าลืมในเรื่องคุณธรรมด้วย เพราะไม่อยากได้คนที่เก่งแต่วิชาการแต่ไม่มีคุณธรรม หรือมีทัศคติในเชิงวัตถุนิยมสุดโต่ง เพราะสังคมมนุษย์จะต้องประกอบด้วยความรู้ที่ขับเคลื่อนโลกและคุณธรรมที่จรรโลงโลก
ผมก็ได้อ่านหัวข้อข่าวนี้เหมือนกันครับท่านรองฯ อ่านคร่าว ๆ ไม่ได้อ่านรายละเอียดมาก อ่านแล้วเกิดความรู้สึก 2 ประการ
1. "หน้าชื่น" ตามที่ท่านรองฯบอก
2. คิดว่ามันคงเป็นประเด็นหนึ่งที่เราเลือกมาดีใจกัน แต่คงมีประเด็นอื่น ๆ ที่บางกลุ่มยังเลือกเรียนสาขาอื่นมากกว่า ที่คิดเช่นนี้เพราะไม่อยากเชื่อว่า ความพยายามของเราที่จะให้คนเก่งหันมาเลือกเรียนครูจะประสบผลสำเร็จเร็วอย่างนี้
เรื่องความพยายามให้คนเก่งหันมาเลือกเรียนครู มีความสำคัญต่อประเทศชาติมาก ( ถึงแม้ว่า คนเก่ง กับ คนดี อาจจะไม่ใช่คนเดียวกันก็ตาม แต่อย่างน้อยเป็นคนเก่งไว้ก่อน ก็มีชัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ความเป็นคนดีเราก็มาปลูกฝังเอา ปลูกฝังคุณธรรมให้คนเก่งนั้นไม่ยาก ) แต่ขณะนี้สิ่งที่เป็นรูปธรรมในความพยายามนี้ก็มีเพียง "เงินวิทยฐานะ" เท่านั้น ที่ครูดีกว่าข้าราชการตำแหน่งอื่น ส่วนเงินเดือนประจำและอื่น ๆ ไม่ได้ดีกว่าตำแหน่งอื่น
ขอบคุณครับสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันน่ะครับ..จะอย่างไรก็แล้วแต่น่ะครับผมว่าอย่างน้อยปากฎการณ์นี้ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการเริ่มต้นการพัฒนาบุคลากรผู้ที่จะเป็นแม่แบบต่อไปในอนาคต ขอเพียงแต่ผู้ที่มีส่วนในการกำหนดนโยบายมีความชัดเจนก็พอ