วันนี้มีนิทานมานำเสนอให้อ่าน ดูแล้วก็คงจะคล้ายๆกับชีวิตของหลายๆคนที่มีอยู่เกือบทุกองค์กร ดังนั้นผู้บริหารควรมีสติ ไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจอะไรลงไป
นิทานเรื่องนี้ ชื่อว่า “ลิงกับม้า”
มีชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงาเค้าจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัวคือ ลิงกับม้า
วันหนึ่งชายชราต้องออกไปทำธุระข้างนอก ก่อนออกจากบ้านเค้าได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของม้าเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองเดินย่ำไปมาในกระท่อม จนทำให้ข้าวของต่างๆได้รับความเสียหาย ทันทีที่ชายชราออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆคลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ม้าอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าวของสิ่งต่างๆล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยักซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของชายชรามาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ม้าได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ สักครู่หนึ่งชายชราชาวบ้านคนนี้ก็กลับมา เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบ
ฝ่ายชายชราเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของ ของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันทีหันมองลิงและม้าเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่องและเห็นว่าม้าไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เขาก็คิดเอาเองว่าเจ้าม้านี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเขามีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ
ดังนั้นชายชราจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุกตีเจ้าม้าอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าม้าผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้มากนักเพราะสงสารเจ้าม้าที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆกลับรอดพ้นและไม่ได้รับผลกรรมใดๆแต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของชายชราที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เขามองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นม้าที่หลุดออกมาจากเชือกแล้วตัดสินว่าม้าคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าม้าไม่มีปัญญาจะแก้เชือกและไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เขามองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำแต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือลิง ความจริงถ้าเขารู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายสักเล็กน้อย เขาก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของม้าเลยเพราะม้าไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
ในกระบวนการยุติธรรมก็มีเหตุการณ์แบบนี้เช่นกัน เช่นคนที่อยู่ในเรือนจำก็มีไม่น้อยที่บริสุทธิ์แต่ด้วยพยานหลักฐานที่มัดตัวไว้ ระบบกล่าวอ้างใช้พิสูจน์ได้ดีกว่า
เหตุที่องค์กรบางองค์กรในปัจจุบันต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ม้ารับเคราะห์ ม้าก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่แต่ไม่ค่อยมีปากเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมาก พรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง ผู้บริหารที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่ผู้บริหารก็ไม่มีทางรู้ ผู้บริหารไม่ควรยึดติดความสบายรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริง เพื่อควบคุมเจ้าลิงเพราะไม่เช่นนั้นองค์กรนั้นก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ผู้บริหารต้องรู้จักเลือกใช้ทฤษฏีในการบริหารองค์กรให้เหมาะสม มีความยุติธรรมไม่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสติไตร่ตรองตรวจสอบให้รอบคอบ ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ มีการนิเทศ ประเมินผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเสมอเพื่อจะได้ทราบการทำงานของแต่ละคน และทราบปัญหาความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชา หากผู้บริหารมีคุณธรรม มีธรรมะผู้นำแล้วย่อมเป็นที่เชื่อถือศรัทธา รักใคร่ ของผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อกุมหัวใจคนได้แล้ว การร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาองค์กรก็จะประสบผลสำเร็จ
ผู้ใต้บังคับบัญชา ยินดีทำตามด้วยความรักและนับถือ เมื่อมีขวัญ กำลังใจ ความขยันขันแข็งก็ตามมา บุคลากรขององค์กรทำงานด้วยความสุข ตั้งใจทำงานพัฒนาตนเอง องค์กรก็เกิดการพัฒนาด้วย
ผู้บริหารส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ ....น่าเบื่อหน่าย