การจัดตลาดนัดความรู้ ครูเพื่อศิษย์ : ประสบการณ์ความสำเร็จเพื่อเด็กไทยวัยใส (ฝ่าวิกฤติวัยรุ่น)
วันที่ 25 – 27 สิงหาคม 2548 ณ โรงแรมรอยัล ซิตี้ กรุงเทพฯ
สรุปการบรรยายเรื่อง “จิตวิทยาวัยรุ่น” โดย วิทยากร นพ. ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวัยรุ่น จาก กรมสุขภาพจิต มาเสนอเป็นความรู้ ในเรื่องของจิตวิทยาวัยรุ่น ซึ่งคณะทำงานได้รับอนุญาตจาก นพ. ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ ให้เผยแพร่องค์ความรู้เหล่านี้เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาวัยรุ่นต่อไป.......
จิตวิทยาวัยรุ่น
จิตวิทยาวัยรุ่น คือ การเรียนรู้ของวัยรุ่นโดยมีพื้นฐานมาจากสมองของคนซึ่งมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ (1) สมองส่วนคิด กับ (2) สมองส่วนอยาก โดยบริเวณตรงกลางของสมองจะเป็นสมองส่วนอยากซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ และสัญชาตญาณทั้งหลาย เช่น ความก้าวร้าว ความรุนแรงแต่การกระทำส่วนใหญ่เกิดจากสมองส่วนคิด บริเวณภายนอกทั้งหมด โดยสมองส่วนคิดทำหน้าที่ 2 ประการ คือ
ปัญญาภายใน ควบคุมสมองส่วนอยาก เช่น คุณธรรมจริยธรรม และ ปัญญาภายนอกจะเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิชาความรู้ บางคนเรียกว่า IQ คือความรู้ที่จะนำไปใช้เพื่อจะเปลี่ยนแปลงโลก ส่วนความรู้ ที่จะมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายในเรียกว่า EQ คือ คำซึ่งมีที่มาทางทฤษฎีไม่เหมือนกัน แต่เมื่อมาจัดระบบใหม่จะมี 2 องค์ประกอบ เช่นนี้เสมอ
ปัญญาภายในและปัญญาภายนอกจะมีวิวัฒนาการตามวัย ซึ่งตัวนี้ภาษาทางจิตวิทยา เรียกว่า หน้าต่างแห่งโอกาส คำนี้สำคัญมากเพราะการสอนจิตวิทยาทางการศึกษาเน้นน้อยไปทั้งๆ ที่สำคัญมากเพราะครูจะดูแลเด็กตามวัย ได้แก่ อนุบาล ประถม มัธยม ถ้าเราไม่เข้าใจหน้าต่างแห่งโอกาสก็จะมองวัฒนาการ หรือการส่งเสริมการเรียนรู้ได้ไม่ชัดเจน
โดยหลักการแล้ว สมองจะพัฒนาจากส่วนด้านหลังมาสู่ส่วนหน้า เด็กจะพัฒนาสมองในวัยต้นๆ คือในช่วงอายุ 0-2 ปี จากสมองส่วนหลังสุดแล้วขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสมองส่วนที่พัฒนาในช่วงวัยรุ่นมากที่สุดก็คือ สมองส่วนหน้าสุดเพราะฉะนั้น ทารกจะพัฒนามากที่สุด จากสมองส่วนหลังสุดและในช่วงวัยรุ่นสมองส่วนหลังสุดแทบจะไม่ได้พัฒนาเลย แต่สมองส่วนที่พัฒนามากที่สุดคือสมองส่วนหน้าสุด เรียกง่ายๆ ว่าพัฒนาจากสมองส่วนหลังมาส่วนหน้าสุด พัฒนาการเหล่านี้ทำให้เกิด IQ และ EQ ในแต่ละช่วงไม่เหมือนกัน เช่น ตอนช่วงอายุ 0 - 2 ปี สมองส่วนหลังสุดพัฒนามาก สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น และความจำที่เกิดขึ้นกับการมองเห็นและการสัมผัส ถ้าเราปิดตาเด็กตั้งแต่อายุ 0 – 6 ปี เด็กจะมองไม่เห็นทั้งๆที่ไม่ได้ตาบอดแต่มองไม่เห็นเพราะหน้าต่างแห่งโอกาสของวัยนี้ก็คือ การเติบโตของสมองส่วนหลัง แต่เราไปหยุดยั้งด้วยการไม่ให้เกิดการเรียนรู้ เด็กก็จะตาบอดมองไม่เห็นทั้งที่ตาไม่บอด การเห็นถือว่าเป็นปัญญาภายนอกเพราะเด็กจะเรียนรู้ว่านี่คือแม่ , แก้วน้ำ , จาน และปัญญาภายในก็จะเริ่มเกิดความผูกพันและความไว้วางใจ ถ้าเด็กคนนี้อายุ 6 เดือนจะสังเกตได้ว่าใครๆ จะอุ้มก็ได้ แต่พอหลัง 6 เดือน ไปแล้วจะไม่ยอมให้ใครอุ้มเพราะเด็กจำได้แล้ว จะยอมให้อุ้มกับคนที่ไว้วางใจได้ คือ แม่ พ่อ คนใกล้ชิด แต่ถ้าเด็กคนนี้ถูกทอดทิ้งไม่ได้รับการพัฒนาปัญญาภายในจะไม่เกิด ถ้าเด็กคนนี้ถูกปิดตา ปัญญาภายนอกก็จะไม่เกิดและจะลงเอยด้วยการมองไม่เห็น ทั้งที่ไม่ได้ตาบอด เมื่อปัญญาภายในไม่เกิดจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความผูกพันและไม่ไว้วางใจใคร ปัญญาภายนอกและปัญญาภายในจะคู่กันตลอด พอเข้าสู่วัยอนุบาล สมองส่วนที่พัฒนามากที่สุดคือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษา และส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เด็กจะวิ่งเล่นได้ใช้กล้ามเนื้อมือได้คล่อง แต่ถ้าเราไม่ให้เด็กวิ่งเล่นในวัยนี้ไม่ให้เด็กรู้จักการใช้คำพูดต่างๆ เรียนรู้ภาษา สนทนา เล่านิทานในวัยนี้ ปัญญาภายนอกก็จะไม่พัฒนาขณะเดียวกันตัวนี้จะสร้างปัญญาภายใน คือ เมื่อเด็กมีความเข้าใจภาษาเขาก็จะรู้ว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิด เพราะฉะนั้นเด็กจะรู้เรื่องถูก เรื่องผิด ในวัยอนุบาล ดังนั้นเราควรสอน , เล่านิทานคติธรรมให้ฟัง เพราะเด็กวัยนี้จะรู้เรื่องถูก ผิดแล้ว เราบอกว่าอย่าทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เด็กจะรู้ ดังนั้นขณะเดียวกันเด็กก็ต้องการทำอะไรตามความเคลื่อนไหว ตามความสามารถของกล้ามเนื้อของเด็ก แต่ว่า ถ้าผู้ใหญ่ห้ามไว้พอไม่ได้ดั่งใจเด็กก็จะลงดิ้นกับพื้น เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่จะต้องไม่ตามใจเด็กเมื่อไม่ถูกตามใจเด็กก็จะเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ตัวอย่างที่เกิดขึ้น คือมีเด็กลูกเจ้าของโรงงานแห่งหนึ่ง พ่อ แม่ พามาในวัยเรียนเป็นเด็กเกเร แกล้งเพื่อน เด็กคนนี้ตอนวัยอนุบาลจะทำร้ายเพื่อน เช่น เขกหัวเพื่อน , ถุยน้ำลายลงชามข้าวเพื่อน แต่กลับมีคนชมว่าเก่ง ผิดกลายเป็นถูก พอเด็กคนนี้เติบโตขึ้นมาเขาก็จะไม่รู้ถูกผิด
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเด็กจำนวนมากที่โตผ่านวัยนี้โดยไม่ได้เรียนรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิดก็จะมีความบกพร่องใน 2 เรื่องนี้คือ ไม่รู้จักถูกผิดและไม่ควบคุมอารมณ์ เรื่องถูกผิดคนไทยยังสอนลูกอยู่แต่เรื่องไม่ควบคุมอารมณ์ยังแย่อยู่ พอมาเป็นวัยเรียนสมองส่วนที่พัฒนามากคือ สมองส่วนที่ต้องพัฒนาด้านตัวเลข รากฐานปัญญาภายในที่สำคัญคือ คณิตศาสตร์ การที่เด็กเข้าใจตัวเลขได้เป็นรากฐานของวิชาคณิตศาสตร์ และเป็นรากฐานปัญญาภายในด้วย การเข้าใจตัวเลขคือการรู้คุณค่าของจำนวนนั้นก็คือ ความประหยัด ฉะนั้นในเด็กวัยประถมจะต้องเรียนรู้การประหยัด แต่สิ่งที่เรากระทำกับเด็กส่วนใหญ่คือการให้เงินเขาใช้มาก ๆ ตามใจเด็ก ดังนั้นพอถึงวัยรุ่นซึ่งหน้าต่างแห่งโอกาสการประหยัดปิดไปแล้ว แต่เราเริ่มมาสอนความประหยัดก็จะไม่ได้ผล เพราะปัญญาภายในช่วงที่เกิดมาคือ ความประหยัดนั้นเด็กเริ่มสนใจ อยากทำโน่น อยากทำนี่ แต่เรากลับไปตามใจและไม่ได้จัดระเบียบให้เด็ก ปัญญาภายในจึงไม่เกิด ซึ่งคือ วินัย ดังนั้น ครู / ผู้ปกครองจะต้องจัดระเบียบความสนใจไม่ใช่ให้เด็กทำตามใจชอบ ฉะนั้นวินัยจะเกิดขึ้นในวัยนี้
วันนี้มาพูดกันเรื่องวัยรุ่น มีปัญญาภายนอกและภายในที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานการเปลี่ยนแปลง คือ ฮอร์โมนเพศ ผลของฮอร์โมนเพศจะส่งผลต่อสมองของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทำให้สมองของเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิงมีความถนัดบางอย่างแตกต่างกันบ้าง และความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดของสมองมนุษย์ก็คือ ฮอร์โมนเพศนั่นเอง สมัยก่อนมักเข้าใจผิดกันว่าฮอร์โมนเพศมีผลกับสรีระ เช่น ผู้หญิงมีทรวงอกและ ผู้ชายเสียงห้าว ที่จริงเรื่องนี้ไม่สำคัญเท่าไหร่ ตัวที่สำคัญมากคือฮอร์โมนเพศมีผลต่อสมองที่จะออกฤทธิ์ อันดับแรกคือ สมองส่วนอยากบริเวณตรงกลางจะออกฤทธิ์ 3 ประการ คือ
1. ทำให้เกิดมีความสนใจและความรู้สึกทางเพศ เพราะผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันที่ตรงฮอร์โมนเพศโดยฮอร์โมนเพศจะกระตุ้นให้ผู้หญิงมีความสนใจเพศตรงข้าม ผู้หญิงเริ่มมองครูผู้ชาย นิยมดาราผู้ชาย แต่ความรู้สึกทางเพศไม่รุนแรง ส่วนฮอร์โมนเพศชายจะกระตุ้นสมองส่วนอยากโดยที่จะกระตุ้นความรู้สึกทางเพศด้วย ดังนั้น เมื่อเด็กชายอายุ 14 – 15 ปี ก็จะสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองถึงแม้จะไม่มีใครสอนเพราะเป็นธรรมชาติ สรุปว่าเมื่อฮอร์โมนเพศไปเลี้ยงสมองส่วนอยากก็จะทำให้มีการตอบสนองความรู้สึกทางเพศ แต่ฮอร์โมนเพศหญิงจะแสดงออกมาในเรื่องของความสนใจเพศตรงข้ามมากกว่าความรู้สึกทางเพศ
2. เกิดความก้าวร้าว คือ สมองส่วนอยากจะทำให้เกิดอารมณ์และสัญชาติญาณดังนั้นการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศก็จะทำให้เพิ่มความรุนแรง ก้าวร้าวด้วย
3. อารมณ์อ่อนไหว
ทั้ง 3 ประการนี้ที่เกิดขึ้นในวัยรุ่นเป็นผลทำให้ฮอร์โมนเพศออกฤทธิ์ต่อสมองส่วนอยาก แต่สมองส่วนคิดต้องเรียนรู้ที่จะควบคุม ช่วงนี้เด็กจะเกิดการพัฒนาเรียกว่า อัตลักษณ์ (Identity) ภาษาทางจิตวิทยา เรียกง่ายๆ ก็คือ ค่านิยม ซึ่งมี 2 ชนิด คือ
1. ค่านิยมทางเพศ
2. ค่านิยมทางสังคม
เหล่านี้คือปัญญาภายใน ส่วนปัญญาภายนอกก็คือการใช้วิชาความรู้ที่สะสมมาตั้งแต่ชั้นประถมและ
เริ่มที่จะพัฒนาขยายต่อไปเรื่อยๆกลายเป็นทักษะวิชาการในที่สุด เป็นวิชาชีพเมื่อนั้นเด็กจะเลือกเรียน มหาวิทยาลัย , เรียนแพทย์ , นิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ส่วนสมองหน้าสุดของวัยรุ่นจะทำหน้าที่ที่สำคัญ คือ ความสามารถในการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาซึ่งจะเติบโตเรื่อยๆ จนถึงอายุ 25 ปี ความรู้นี้เป็นความรู้ใหม่สมัยก่อนเข้าใจว่าสมองจะพัฒนาโตมากที่สุด 6 ปี ต่อมาเราเข้าใจว่าสมองจะพัฒนาจนถึงอายุ 12 ปี ตอนนี้มีความรู้ใหม่ล่าสุดก็คือ สมองจะพัฒนาเติบโตมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานจนถึงอายุ 25 ปี แต่ละวัยไม่เหมือนกันว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดที่จุดไหน โดยไล่จากสมองส่วนหลังมาหาสมองส่วนหน้า ในช่วงวัยรุ่น สมองยังมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานแต่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของวัยรุ่นนั้นจะโฟกัสอยู่รอบๆ บริเวณที่เรียกว่าสมองส่วนหน้าสุดซึ่งเกิดจากการสร้างใยประสาทขึ้นมามากมายเมื่อการเรียนรู้จบลง และเมื่อเด็ก พ้นวัยรุ่นจะเห็นว่าใยประสาทบางส่วนจะหายไปแล้วและใยประสาทบางส่วนจะหนาตัวขึ้น ซึ่งความเข้าใจนี้จะต้องปรับใหม่เพราะเดิมเราเข้าใจว่ามนุษย์เรียนรู้ด้วยการสร้างใยประสาท ปัจจุบันพบว่าไม่จริง ในมนุษย์นั้นธรรมชาติสมองจะสร้างใยประสาทขึ้นมาแล้วกระบวนการเรียนรู้จะตัดส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้ออก สิ่งที่ใช้บ่อยๆ จะหนาตัวขึ้นและโอกาสที่เด็กจะสูญเสียไปคือ
1.ไม่ได้สร้างการเรียนรู้ที่ควรจะเรียนรู้
2.การเรียนรู้จะเป็นการเรียนรู้ที่ผิด เราลองคิดดูว่าถ้าเด็กวัยรุ่นเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นด้วยการเข้าใจว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องสนุก (Just for fun) นอนกับใครก็นอนได้ ฉะนั้นวงจรเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นในสมองแล้วเราลองคิดว่าตอนอายุ 45 ปี ถ้าเค๊ามีกิ๊กจะแก้ไขได้มั๊ยเพราะค่านิยมเหล่านี้เกิดมาจากช่วงวัยรุ่นแล้ว ถ้าตั้งคำถามง่ายๆ ว่าโรงเรียนทำอะไรบ้างเพื่อพัฒนาปัญญาภายในของค่านิยมทางเพศ ตอบว่าโรงเรียนทำน้อยมาก แล้วผู้ที่ผลิต CD ลามก , สื่อโฆษณาการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากสมองส่วนคิด แต่จะสนองตอบสมองส่วนอยากเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กระตุ้นสมองส่วนคิด คือ สมองส่วนหน้าสุดในการพัฒนาค่านิยมทางเพศและค่านิยมทางสังคมที่เหมาะสมเลย ในโรงเรียนมีชั่วโมงพัฒนาปัญญาภายนอก จำนวนมาก เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ ถามว่าตรงไหนบ้างที่มีชั่วโมงในการพัฒนาปัญญาภายใน คำตอบคือ หาได้ยากมากดังนั้น โรงเรียนจะต้องสร้างเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และโรงเรียนจะต้องศึกษาว่าโรงเรียนมีช่องว่างตรงไหนบ้างที่จะเติมเต็มให้เด็กพัฒนาปัญญาภายในให้เป็นระบบ
จากผลการวิจัยทั่วโลกคล้ายกันพบว่าการมีเพศสัมพันธ์เร็วมีผลกระทบอย่างรุนแรงมากต่อเพศหญิง และ สิ่งที่กระทบค่านิยมทางเพศหญิงมากที่สุดมี 2 ประการ คือ
1. การมีเพศสัมพันธ์เร็ว
2. ค่านิยมเพื่อน
ถ้าเด็กมีเพศสัมพันธ์เร็ว หรือว่าเด็กอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มีค่านิยม การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบ เด็กก็จะกระเจิดกระเจิงอย่างรวดเร็ว เช่น มีเพศสัมพันธ์แบบสำส่อน , มีเพศสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ นำไปสู่การตั้งครรภ์ ทำแท้ง , มีลูกแล้วทิ้งไว้ไม่รับผิดชอบ และ ติดเอดส์ ต่อมาเด็กคนนี้ถ้าแต่งงานมีครอบครัวอย่างแท้จริงสถาบันครอบครัว 10 ปี ที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีเพศสัมพันธ์เร็ว เช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นกระบวนการเหล่านี้ เป็นการทำลายสถาบันครอบครัวทั้งสิ้น แล้วสังคม , รัฐบาล , สื่อ และผู้รับผิดชอบในด้าน การจัดการศึกษาทำอะไรบ้างที่จะให้สมองส่วนคิด สามารถที่จะพัฒนาปัญญาภายในที่เรียกว่า ค่านิยมหรืออัตลักษณ์ทางเพศได้บ้าง วิทยากรคิดว่าน้อยมากและน้อยอย่างน่าใจหายที่สุด ทั้งที่เด็กควรมีอัตลักษณ์ที่สำคัญมากของเด็กวัยรุ่น 3 ประการ ได้แก่
1. ตระหนักเรื่องเพศเป็นสิ่งใกล้ตัว
2. คุณค่าและศักดิ์ศรี
3. เพศสัมพันธ์ที่มีความรับผิดชอบและปลอดภัย
ส่วนอัตลักษณ์ทางสังคม 3 ประการ คือ
1. วิถีชีวิตของวัยรุ่นที่กำลังจะเติบโต เขาควรจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน จะเลือกที่จะฟุ้งเฟ้อหรือเลือกแบบพอเพียง
2. การเลือกมีอุดมคติเพื่อตัวเองหรือเพื่อสังคม
3. การเลือกอาชีพให้เหมาะสมกับตัวเอง และต้องมีคุณธรรม จริยธรรมต่อวิชาชีพ
สรุปว่าสมองมนุษย์ในภาคของปัญญาภายในเติบโตมาจากวัยอนุบาลเกิดความผูกพันและความไว้วางใจ รู้ถูกรู้ผิด สามารถควบคุมอารมณ์ เด็กวัยเรียนมีวินัยใฝ่รู้และเกิดอัตลักษณ์ทางเพศ และอัตลักษณ์ทางสังคมแต่ถ้าไม่วางรากฐานที่ดีให้กับแต่ละวัยเด็กก็จะไม่ได้มีโอกาสใช้หน้าต่างแห่งโอกาสที่เปิดอยู่และต้องมาคอยตามแก้ไขปัญหาสังคมภายหลัง ฉะนั้น โรงเรียนควรจะมีวิธีจัดการปัญหาวัยรุ่นได้อย่างไรก็โดยการจัดการตามระบบที่เริ่มต้นจากกิจกรรมนักเรียนที่หลากหลาย เช่นตั้งชมรมตามความสนใจ พัฒนาความเป็นผู้นำ ฝึกความรับผิดชอบและทำให้กิจกรรมสืบทอดกันระหว่างรุ่นให้ได้ กิจกรรมนักเรียนจะส่งเสริมเรื่องการเกิดอัตลักษณ์ทางเพศและอัตลักษณ์ทางสังคมได้ดีมาก ก็จะทำให้เด็กรู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม รู้จักที่จะมีความสัมพันธ์ระหว่างชาย / หญิงอย่างถูกต้อง รู้จักควบคุมตัวเอง ฉะนั้นระบบกิจกรรมจะง่ายที่สุดในการจะจัดการปัญหาวัยรุ่นแต่ต้องยกเลิกกิจกรรมที่ครูสั่งและส่งเสริมกิจกรรมที่นักเรียนทำ และให้เป็นไปอย่างหลากหลาย เช่นมีชมรมบำเพ็ญประโยชน์ ชมรมดนตรี ศิลป์ ตามความสนใจและความสามารถของเด็กมีการดึงชุมชนมาช่วยส่งเสริมมีการสนับสนุน ด้านวัสดุ อุปกรณ์ ครูฝึกหรืออะไรก็ตาม และมุ่งเน้นระบบดูแลนักเรียนโดยอาศัยการผลักดันองค์กรตามยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ และต้องทำให้ ทำครบวงจร PDCA มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ผู้บริหาร และครูทั้งโรงเรียนควรมีการทดลองหนึ่งภาคเรียนก่อน โดยจัดการทำเรื่องระบบดูแลนักเรียนให้สำเร็จและต้องแตกต่างกันตามบริบทของโรงเรียน
ทั้งนี้ชีวิตวัยรุ่นจะดีขึ้นได้จากระบบการเรียนรู้ที่สำคัญ 2 ประการ
1.กระบวนการเรียนการสอนโดยทั่วไปจะต้องให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุขหรือเรียนโดยมีการคิดวิเคราะห์ เช่น มีกระบวนการเรียนการสอนแบบแบ่งกลุ่ม /ฝึกทักษะคิดวิเคราะห์ มีสื่อการเรียนที่หลากหลาย สังเกตได้จากถ้าวันใดโรงเรียนปิดเรียนแล้วเด็กร้องไห้จะแสดงว่าโรงเรียนดี ไม่มีปัญหา แต่ถ้าบอกว่าวันนี้โรงเรียนหยุดเรียนและเด็กๆ ดีใจแสดงว่าเด็กไม่อยากเรียน โรงเรียนมีปัญหา ดังนั้นโรงเรียนจะต้องทำให้เด็กรู้สึกมีความสุขไม่เครียด ไม่กดดัน การจัดการเรียนการสอน จึงจะสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดี
2.มีการสอนมุ่งเน้นการพัฒนา EQ เช่นการสอนเพศศึกษา ทักษะชีวิตสอนคุณธรรม จริยธรรม เพราะโรงเรียนใดที่จัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพก็จะทำให้เกิดกิจกรรมกลุ่มที่มุ่งเน้นการควบคุมตัวเองและเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจซึ่งก็จะช่วยแก้ปัญหาวัยรุ่นได้ดี
KM Idea
22 กันยายน 2548
ไม่มีความเห็น