โดยปกติทั่วไปแล้ว  เมื่อเราตั้งใจที่จะทำอย่างไรผลย่อมเกิดขึ้นกับตนเช่นนั้น  แต่ในบางครั้งแล้วเจตนาที่แท้จริงกับสิ่งที่แสดงออกไปนั้นไม่ตรงกัน  ในทางเรื่องของเจตนานั้นไม่ได้ยึดถือเรื่องของสิ่งที่แสดงออกให้ผู้อื่นเห็นเป็นหลัก  แต่หากว่าจะเน้นที่เจตนาที่ตนมีต่อเหตุการณ์นั้นมากกว่า  นี่เป็นเหตุผลหลักอันสำคัญทำให้ผู้ที่ทำดีทำไมจึงได้ชั่ว  และผู้ที่ทำชั่วทำไมจึงได้ดี  เหตุนั้นเนื่องจากเราใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นจนต้องไปทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเราเป็นคนดีโดยที่เราไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง  เมื่อยู่ไปนานวันเข้าวิบากกรรมจึงส่งผลถึงเราได้แม้จะมีคนชมทั้งบ้านทั้งเมืองก็ตาม

ในทางกลับกัน  คนที่แสดงออกด้วยความจริงใจอย่างตรงไปตรงมา  แต่เราอาจจะไม่ชอบการกระทำของเขา  จึงมองว่าเขากำลังทำชั่วอยู่ก็อาจเป็นได้  แล้วเหตุที่การทำดีแล้วไม่ได้ดีส่วนหนึ่งแล้วเป็นส่วนสำคัญยิ่ง  คือทำดีแล้วให้ผู้อื่นเห็นว่าเราทำดีนี่แหล่ะ  ซึ่งการกระทำนั้นไม่ได้ออกจากใจจึงขาดเจตนา  เมื่อขาดเจตนาแล้วต้องดูว่าตนเองมีเจตนาอย่างไรกัน  เมื่อทำดีไปแล้วคนอื่นเห็นว่าตนเองทำดีแล้วแต่กลับได้ชั่วมาแทน  จึงเกิดความท้อแท้ประการหนึ่งแต่ในอีกประการหนึ่งคนที่ทำชั่วแล้วได้ดี  อาจจะเป็นการดีเพียงแต่เปลือกเท่านั้น  เช่นนักการเมืองที่โกงบ้านกินเมืองจนรวยแล้วยังได้ดิบได้ดีอยู่นั้น  ก็ให้เข้าใจว่าเขากำลังใช้บารมีแล้วกำลังใช้บุญเก่าที่มีให้หมดลงไปเรื่อย ๆ  บุญเก่าหมดเมื่อไร  บาปกรรมที่ทำเอาไว้ก็จะตามมาสนองมันก็เท่านั้น

ส่วนคนที่ทำดีแล้วยังไม่ได้ดี ณ.  ปัจจุบัน  แล้วความดีนั้นเป็นความดีอย่างบริสุทธิ์ใจ  ให้อดทนต่อไปเรื่อย ๆ  เพราะความอดทนจะเอาชนะได้ทุกอย่างหากเราทำดีอย่างแท้จริง  แต่หากผู้ใดทำชั่วหรือทำเพื่อตนเองมากกว่าส่วนรวมและคนอื่น  อาการท้อจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ  เพราะตนเองมีความฝังใจอยากที่จะสบายอยู่ตลอดเวลา  ทำไปแล้วหวังให้ตนสบายในภายหน้าจึงเป็นการทำเพื่อหวังผลตอบแทนอย่างหนึ่ง  แล้วเป็นความหวังขั้นละเอียดแล้วยากต่อการสังเกตให้เห็นได้โดยง่าย  แต่หากเราสังเกตตนเองตลอดเวลาจะมองเข้าไปจนถึงความลึกซึ้งในความคิดของตนเองก็จะหาเจอ  ความรู้สึกที่ผู้เขียนได้อธิบายมานี้อย่างแน่นอน  เพียงแต่ต้องใช้ความพยายามสังเกตสักหน่อยเท่านั้น

นั่นหมายความว่าอาการท้อแท้ห่อเหี่ยวใจที่เกิดขึ้นนั้น  เบื้องลึกแล้วเกิดจากความที่แต่ละคนยังไม่สามารถตัดความรู้สึกอยากให้ตนเองสบายได้  เพราะความอยากสบายนั้นเป็นความต้องการตามธรรมชาติของทุกคนรวมทั้งผู้เขียนด้วย  เมื่อเป็นเช่นนี้การตัดความต้องการให้ตนเองสบายจึงเป็นเรื่องยากรวมทั้งผู้เขียนด้วย  บางครั้งการทำดีแล้วได้ชั่วแล้วทำชั่วแล้วได้ดี  เกิดจากเหตุเช่นนี้ด้วย  เพราะเราเห็นพวกโกงบ้านกินเมืองอยู่สุขสบาย  แต่เราในฐานะคนประกอบอาชีพสุจริตอยู่อย่างลำบาก  ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตนเองเกิดขึ้น

หากเราทั้งหลายรู้เท่าทันความคิดของตนเองมากขึ้นเท่าใด  จะทำให้ตนเองปลดเปลื้องความทุกข์โดยเฉพาะความทุกข์อันเกิดขึ้นในจิตใจ  สิ่งที่แต่ละคนพึงถามตนเองแล้วตอบตนเองให้ได้เสมอนั้น  คือวันนี้เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง  ถ้าตอบว่าทำดีที่สุดแล้วหากได้สิ่งใดมาเท่าใดก็ให้ยอมรับสภาพ  บางครั้งตอนมีชีวิตอาจจะไม่ดีมีชีวิตอย่างสุขสบาย  แต่ว่าอาจจะไม่มีใครรู้เลยก็ได้ว่า  ตายไปแล้วอาจจะอยู่อย่างสุขสบายก็อาจจะเป็นเช่นนั้นได้  ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วขึ้นอยู่กับการกระทำในปัจจุบัน  เพราะการกระทำในปัจจุบันโดยความตั้งใจอย่างไร  จะส่งผลให้อนาคตได้รับเช่นนั้นนั่นเอง