ชีวิตที่เมืองลาว : 24 มกราคม 2554 เมื่อมีคน “ตาย” วิกฤตที่ต้องพลิกเป็น “โอกาส...”


ข้าพเจ้าเคยคิดไว้เล่น ๆ ว่า ในช่วงระยะเวลาระหว่างที่ทำเมรุฯ หลังนี้อย่าให้มีใคร “ตาย” เลย
เพื่อที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องชาวลาวเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อป่าช้าและการสร้าง “เมรุฯ” คนที่มาสร้างนั้นจะ “ตาย...” แต่แล้วในวันนี้ช่วงสาย ๆ ข้าพเจ้าก็แว่ว ๆ ว่า มีคน “ตาย...”

นับตั้งแต่ช่วงที่ข้าพเจ้าทานอาหารเช้า ปกติจะมีพี่น้องบ้าน “สานะคาม” ที่นายบ้านเกณฑ์มาช่วยงานสร้างเมรุฯ ทยอยกันมาเรื่อย ๆ แต่วันนี้กับ “แหม่ง ๆ” คือ ไม่มีใครเดินทางมาเลย
แล้วยิ่งได้ยินแว่ว ๆ จากคนงานบ้านโนนยางคุยกันว่ามีคน “ตาย” ในใจตอนนั้นก็ยังหวังว่า น่าจะไม่ใช่คนที่เคยมาช่วยคนงานเรา “ตาย”

แต่แล้วเมื่อฟังดี ๆ เข้าก็จับใจความประโยคคนหนึ่งได้ว่า “คนนั้นไง คนที่มายืนเทปูนเสา 4 ต้น”

ข้าพเจ้านึกถึงชาวรูปร่างขาวสูงอายุประมาณ 50 ปี ออกโดยฉับพลัน “อื่ม... งานเข้า!!!”

 

คราวนี้แย่แน่ มีหลักฐานพยานสนับสนุนพร้อมเลยว่า คนที่มาช่วยสร้างเมรุฯ แล้ว “ตาย...”

Large_2201201102

 

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็พยายามยืนฟังบทสนทนาของพี่น้องชาวโนนยางว่า พ่อใหญ่คนนั้นเป็นอะไรตาย ก็พอจับใจความได้ว่า “ถ้าไม่กินเหล้าก็คงไม่ตาย”

ข้าพเจ้าพยายามเหงี่ยหูฟังตลอด เพื่อจับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการตายของคนที่มาช่วยงานเมรุฯ เราเพียงวันเดียวว่าจะออกมาหัวหรือก้อย เพราะถ้าออกมาตามความเชื่อเดิม งานนี้คงจะต้องมี “ปัญหา” แน่ ๆ...

แต่แล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มได้ยินพี่น้องชาวโนนยาง ซึ่งช่วยงานวัดมานาน และเป็นคนกลุ่มแรกที่ยืนหยัดเดินทางไปกลับในระยะทางที่ขรุขระกว่า 20 กิโลเมตรว่า “ยังดีนะ ได้มาทำบุญวันหนึ่งก่อนตาย”

จากคำพูดของพี่น้องชาวโนนยางนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจถึงคำว่า “สัมมาทิฏฐิ” มากขึ้น เพราะนอกจากที่มีความคิดว่า คนที่เพิ่งตายไปยังมีโอกาสทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนหน้านี้เพียงวันสองวัน แทนที่จะคิดว่าเป็นอาถรรพ์ มาช่วยทำเมรุฯ แล้ว “ตาย” เพราะนอกจากที่เชื่อว่าได้ทำบุญก่อนตายแล้ว พี่น้องอีกท่านหนึ่งยังบอกว่า “มีบุญนะเนี่ย ตายไม่ทุกข์ทรมานมาก...”

หลังจากที่เหงี่ยหูฟังสาเหตุการตายแล้ว ก็พอจับใจความได้ว่า
พ่อใหญ่คนนี้น่าจะดื่มเหล้าขาวที่ต้มเองเกินขนาด หรือว่าเหล้าแรงเกินไป
เพราะมีผู้ชายคนหนึ่งเล่าถึงสถานที่และลักษณะการ “ตาย” ว่า ตอนนั้นร่างกายน่าจะร้อนมาก เพราะตอนกลางคืนอากาศเย็น แต่ก็ถอดเสื้อ แล้วก็น่าจะกำลังจะลุกออกมาอาเจียนที่นอกมาก เพราะตอนตายนั้นหัวพาดอยู่นอกบ้าน น่าจะออกมาอาเจียนแล้วฟุบหมดสติไปเลย ตอนเช้าถึงมีคนมาพบ

จากการที่มีเจ้าหน้าที่มาชันสูตรแล้ว ก็บอกว่าเสียชีวิตมาประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งก็น่าจะอยู่ในระหว่างเวลาเที่ยงคืน


หลังจากนั้นอีกซักอึดใจใหญ่ ๆ ประมาณเที่ยง ข้าพเจ้าก็ได้เห็น “รถแค๊ปคอยาว” คันหนึ่ง วิ่งเข้ามาในวัดพร้อมด้วยชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคนขนไม้มาที่ “เชิงตะกอน”

Large_2401201102

 

ข้าพเจ้าจึงพูดกับทีมงานที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า “จะเผาวันนี้เลยเหรอ...?”

ตอนนั้นข้าพเจ้ายังได้บอกกับทีมงานที่นั่งอยู่ด้วยกันเพิ่มเติมอีกว่า จะหัวหรือก้อยอยู่ที่ “นายบ้าน” ถ้านายบ้านเข้าใจ ความคิด คำพูดก็จะออกมาดี มีสัมมาทิฏฐิอย่างที่พี่น้องชาวโนนยางพูดกัน แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ก็จะกลายเป็นว่างานนี้ “อาถรรพ์”

หลังจากที่ข้าพเจ้า นั่งครุ่นคิดอยู่นั้นเอง อีกไม่นาน “นายบ้าน” ก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์เข้ามาคุยกับคนงานที่นั่งจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงการ “ตาย” ครั้งนี้

เมื่อข้าพเจ้าฟัง “นายบ้าน” พูดแล้วก็โล่งอก เพราะเขาให้เหตุผลกับการตายที่เชื่อมโยงถึงการมาช่วยทำเมรุฯ ของพ่อใหญ่คนนั้นว่า “ดี ที่ยังได้มาทำบุญวันหนึ่ง...”

สำหรับข้าพเจ้าก็เชื่อเช่นนั้น เพราะคนหลายคนไม่มีโอกาสที่จะเสียสละเวลาที่ต้องไปทำงานตามที่ต่าง ๆ มาเพื่อ “ทำบุญ”
หลายคนทำงานที่ได้เงินมาทั้งชีวิต แต่จะมีสักครั้งหรือไม่หนอที่จะทำความดีและ “เสียสละ...”

จากประวัติที่ข้าพเจ้าได้รับฟังจากคนที่แวะเวียนมาแล้วพูดให้ฟังก็พอสรุปคร่าว ๆ ได้ว่า
พ่อใหญ่ท่านนี้เป็นคนบ้านอื่น ย้ายถิ่นฐานมาทำงานที่บ้านสานะคามนี้ มาคนเดียว ไม่มีลูกเมีย ไม่มีญาติอยู่ด้วย
ฐานะการเงินไม่ดีเท่าใดนัก จึงเป็นเหตุให้เมื่อตายเช้าก็ตอนเผาบ่ายเลยเพราะไม่มีเงินจัดงานศพ...

ขนาดแค่หีบศพ ข้าพเจ้าได้ยินคนพูดว่า ไปซื้อไม้อัดจะมาทำหีบ เขายังบอกว่า เอา “กระดาษอัด” ก็พอเพราะ “ราคาถูก...”

Large_2401201107


ช่วงประมาณบ่ายสองโมง รถแค๊ปคอยาวคันหนึ่งด้านหลังมีกล่องไม้ยาว ๆ สีขาว ด้านบนมีฝาปิดคล้ายหลังคาบ้านเคลื่อนเข้ามา

 

ซึ่งแตกต่างกับงานศพอื่น ๆ ที่มีพี่น้องท่านหนึ่ง เมื่อเห็นขบวนแห่ศพพ่อใหญ่คนนี้เข้ามาในวัดแล้วก็บอกว่า น่าจะเป็นคนที่ฐานะไม่ดี เพราะถ้าเป็นคนที่มีฐานะดี ขบวนจะใหญ่กว่านี้ มีการจุดประทัด อะไรต่ออะไร และก็มีการจัดเมรุฯชั่วคราวสวยหรู ราคาสามหมื่นสี่หมื่นบาท พอเสร็จงานก็ “เผาทิ้ง...”

Large_2401201105

 

จากนั้นข้าพเจ้าก็เห็นชายกลุ่มหนึ่งช่วยกันยกหีบใบนั้นมาวางบน “เชิงตะกอน”
พี่น้องคนอื่น ๆ ที่ตามมาประมาณ 50 คน ก็เข้าไปนั่งเตรียมฟังสวดพระอภิธรรมกันในศาลา

 

 

พิธีสวดที่ข้าพเจ้าได้ยินก็เป็นการสวดจบเดียว ชักบ้าบังสุกุลครั้งเดียว จากนั้นพระก็ให้พระ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที

เมื่อได้ยินเสียงพระให้พร ข้าพเจ้าก็รีบเตรียมตัวจะไปร่วมวางดอกไม้จันทร์กับเขา ไปเกือบไม่ทัน เพราะพิธีการต่าง ๆ เร็วมาก สั้น กระทัดรัด ไม่มีการเอ่ยชื่อคนเด่น คนดังอะไรไปชักผ้าบังสุกุล

Large_2401201104

เมื่อข้าพเจ้าเดินไปถึงวางดอกไม้จันทร์เสร็จ ชายกลุ่มนี้ก็ได้ช่วยกันพลิกร่างพ่อใหญ่ให้คว่ำลง จากนั้นก็เผาฝาปิดไว้เหมือนเดิม

พี่น้องที่มาร่วมงานครั้งนี้ต่างก็พอกันเข้าไปวางดอกไม้จันทร์ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นไปวางข้างบนเชิงตะกอน คือโยนดอกไม้จันทร์ ซึ่งมีแค่ธูปเทียนมัดติดกันไว้ตรงที่กองไม้ด้านล่างนั้นเอง

Large_2401201106

 

กองไม้นี้ ข้าพเจ้าก็ไปยืนดูเขาจัดอยู่พักหนึ่ง ได้ยินเสียงคนจัดบ่นว่า “คนเป็นก็ไม่มาทำ” คือ คนที่มาจัดไม้นั้น “ทำไม่เป็น...”

และเมื่อจุดไฟไปสักพัก คนที่เห็นเปลวไฟก็ยืนยันว่าไม่เป็นจริง ๆ เพราะไฟไม่ลุกโชนเหมือนกับคราวก่อน ๆ ที่ผ่านมา

แต่ก็ได้ทราบสูตรคร่าว ๆ ว่า จะต้องให้มีอากาศผ่านไม้ด้านล่างพอสมควร ถ้าเรียงไม้ชิดกันเกินไป ไฟจะไม่ติด แล้วก็ต้องเรียงชั้นไม้ให้ได้เลขคี่ คือไม่เจ็ดชั้นก็เก้าชั้น

 

Large_2401201107

พอคนที่มาร่วมงานวางธูปเทียนกันเสร็จ ก็เห็นชายสองคนขึ้นไปราดน้ำมัน หนึ่งในนั้นก็ได้แค่ “ช่างเนา” ที่ไปช่วยจุดไฟ

ช่างเนาดูไม่สะทกสะท้านกลัวอะไร ๆ เหมือนกับคนอื่น ๆ
ยังมีการพูดตลกอีกว่า “อย่าแล่นหนีนะ”

พอทราบข่าวว่าพ่อใหญ่ที่เสียชีวิตนี้ ตายเพราะดื่มเหล้า ข้าพเจ้าเข้าไปถามช่างเนาว่า “เห็นเขาตายแล้วกลัวไหม” ช่างเนาส่ายหน้า ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักเท่าไหร่

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น นอกจากจะไปช่วยเขาจุดไฟแล้ว ก็ยังทำหน้าที่สัปเหร่อ เดินไปเช็คตลอดว่าศพที่เผาเหลือเท่าไหร่
เพราะคนที่มางาน พอจุดไฟแล้วต่างก็ทยอยกลับไป เหลือแต่พวกเราและทีมงานก่อสร้างคอยเดินไป เดินมาช่วยดูให้

Large_2401201109

 

การที่มีคนทีเคยมาช่วยงานเราเสียชีวิตในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้กระทบกระเทือนกับเราไม่ว่าจะเป็นทั้งหัวหรือก้อยแล้ว ระหว่างช่วงบ่ายและช่วงเย็นของวันนี้ ข้าพเจ้าระลึกถึงเหตุการณ์ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ชา สุภทฺโท ได้เคยเล่าให้ฟังถึงครั้งที่เข้าไปภาวนาในป่าช้าว่า ตอนที่ท่านเข้าไปอยู่วันแรกก็มีคนเอาศพมาเผาเลย มาจุดไฟแล้วเขาก็หนีไปให้ท่านดูแล

ตอนนั้นท่านบอกว่ากลัวมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เข้าป่าช้า
ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินเหตุการณ์ที่ท่านเล่าทั้งจากเทปบันทึกเสียง และจากหนังสือชื่อ “อุปลมณี” แล้ว ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า ข้าพเจ้าก็กลัวเหมือนกัน ให้ไปอยู่ป่าช้าก็ไม่อยู่หรอก

แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 ก็เป็นเวลา 11 วันแล้ว ที่ข้าพเจ้ามานอนอยู่ในป่าช้า มาอยู่นี่ก็ไม่ได้กลัวอะไรมากอย่างที่เคยคิดไว้ และในวันนี้มีศพเข้ามาด้วยก็ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจกลัวเท่าไหร่

สิ่งนี้ คงจะเป็นอุบายอันประเสริฐขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ ที่มอบหมายงานที่ต้องสัมผัสกับความตายให้ข้าพเจ้ามากกว่า 3 ปี

Large_2401201108

 

3 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าวนเวียนอยู่กับเรื่องเมรุฯ และป่าช้ามาโดยตลอด
สร้างเมรุฯ ก็ต้องเป็นสัปเหร่อ เผาเมรุฯนี้ ก็ต้องไปสร้างต่อเมรุฯ โน้น วนเวียนอยู่กับความตายไม่รู้จักจบจักสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง ความกลัวที่เคยมีมาก สมมติว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ค่อย ๆ ลดไปเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติของการได้สัมผัสเรื่องนี้มาก ๆ
ซึ่งแตกต่างจากการหักดิบ คือให้คนกลัวร้อย อยู่ดี ๆ ไปสัมผัสแบบเต็ม ๆ นี่ก็คงจะไม่ไหว

ข้าพเจ้ายังได้คิดถึงอานิสงส์แห่งศีล ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสบอกให้เราและท่านได้ปฏิบัติตามกำลังของแต่ละคน ศีลนี้เองจะช่วยขัดเกลาจิตใจของเราไปเรื่อย ๆ ตามสติและกำลังของคน ๆ นั้นที่ได้ปฏิบัติภาวนา

ข้าพเจ้าคิดถึงช่างเนา ถึงแม้นว่าครั้งนี้ดูเขาตลก ๆ ฮา ๆ ไม่รู้สึกรู้สากับการที่เห็นคนกินเหล้าจนตาย แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า ในใจลึก ๆ เขาก็ต้องรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงพอสมควร ถึงแม้ไม่ใช่วันนี้ที่จะเลิกดื่มเหล้าเด็ดขาด แต่เรื่องนี้ก็ต้องคอยเตือนจิตเตือนใจของเขาอยู่ตลอด โดยเฉพาะวันใดวันหนึ่งที่บารมีธรรมของเขาแก่กล้า วันนี้จิตใจสั่งสมบารมีธรรมไว้มากกว่ากิเลส ตัณหา และกามราคะ วันนั้นจิตใจจะพลิกขึ้นมาดุจหงายของที่คว่ำ

การที่จิตจะพลิกปุ๊บปั๊บ ถ้าไม่เจอเรื่องแรงจริง ๆ พลิกยาก
แต่การสะสม ใช้แม่แรงบ้าน ใช้รอกโซ่ที่ทดแรงบ้าง ค่อย ๆ ดึงพลิกจิตพลิกใจไปเรื่อย วันหนึ่งก็ย่อมที่จะพลิกได้ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า บุญกรรมที่ทำย่อมนำพา ไปสู่ดวงตาแห่งพระ “นิพพาน...”

Large_2401201111


 24 มกราคม 2554

ณ ป่าช้าวัดป่าธรรมศักดิ์

เมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว...

หมายเลขบันทึก: 422328เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2011 21:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 14:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท