บุญที่เลิศย่อมเจริญ (แด่...พระบุญเลิศ)


ท่านจะถวายทุกสิ่งอย่างในกุฏิจนหมด ไม่มีหวงของหรือโลภเก็บไว้เพื่อสนองกิเลสของตน

          วันวารที่อยากย้อน...

 ประมาณสิบกว่าปีที่ได้รู้จักการเข้าวัด การปฏิบัติธรรม และการบวชพระอย่างแท้จริงเฉกเช่นทุกวันนี้.. กลิ่นไอของแก่นขนุน สัมผัสได้ในยามสวมใส่ ที่ต้องพิจารณาทุกครั้ง โดยที่ผู้ครองผ้า ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา  กลิ่นของแก่นเมื่อได้สัมผัสทุกครั้งทำให้หวนนึกถึงเวลาที่ปฏิบัติธรรมตามสำนักต่างของวัดสาขาที่เคยได้ไป  กลิ่นแก่นได้เสกคนให้เ็ป็นพระที่ใจ  กลิ่นแก่นทำใจให้คนให้มีสติตลอดเวลา.. กลิ่นแก่นขัดใจคนให้ขาวใสสะอาด  กลิ่นแก่นถือได้ว่ามีคุณสูงค่ากับนักบวชชายไทยในพุทธศาสนา...

สีของผ้าจีวรนั้นมีหลายเฉด แต่พระวินัยตามธรรมเนียมนั้นท่านกำำหนดให้สีของจีวรเป็นสีหม่น ไม่มีความสวยงาม ให้ใช้ครองเพียงเพื่อปกปิดความละอาย บำบัดความร้อน หนาว หรือผัสสะอันเกิดจากแดด ลม เหลือบ ลิ้น ไร ฯลฯ เพื่อความอยู่ได้ของร่ายกายและอัตตภาพ สะดวกในความเป็นสมณะสารูปตามแต่กำลัง  แต่ไม่ได้หมายถึงต้องครองให้โก้หรู หรือสวยงาม ตามกำลังทรัพย์ที่มี  เพราะผ้าครองที่ถูกต้องในสมัยพุทธกาลจะต้องได้มาจากผ้าบังสุกุลเท่านั้น หรือคฤหบดีผู้มีทรัพย์เป็นผู้มาถวายเอง ไม่ใช่ไปเดินซื้อหรือสั่งตัดให้สิ้นเปลือง  หรือญาติพี่น้องปวารณาถวายตามสมควรฯ

กลิ่นของจีวรที่ได้ใช้ห่มในตอนกลางคืน ช่างอบอุ่นกว่าผ้าห่มไหมพรมบางยี่ห้อ มีความรู้สึกคุ้นเคย เพราะใช้ครองในยามกลางวัน ในเวลาทำงานหรือลงฉันภัตต์พร้อมหมู่คณะ  จึงเกิดความรู้สึกนึกถึงพระพี่ชาย (ในทางธรรม) เพราะด้วยความศรัทธา ความดีงามในรูป  ความเพียร และความเป็นพระทั้งใจและทั้งกาย...

หลวงพี่บุญเลิศ ท่านเกิดที่เมืองสุพรรณบุรีเมื่อปี 2517 (เป็นปีเดียวกับที่อาตมาเกิด) เมื่อตอนที่อาตมาอาุุยุ 26 ปี ท่านก็อายุเท่าอาตมา แต่พรรษาต่างกัน ท่านได้ 6 พรรษา แต่อาตมาน้อยกว่า.. แต่ด้วยรูปลักษณ์ท่านล่ำ ขาว และไม่สูงมาก (เพราะสูงน้อยกว่าอาตมา) ทำให้ท่านดูทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว เก่งการงานทุกอย่าง.. ตั้งแต่งานไม้ ปูน อาหาร แม้กระทั่ง งานบริขารพระ  ท่านสามารถ..

โดยอุปนิสัยท่านเป็นคนพูดเร็ว ดุดัน ไม่อ้อมค้อมหรือชักช้า เป็นคนตรง และรู้กาลเวลาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถูกต้องหรือถูกใจไม่ีพิรี้พิไรให้เสียเวลา  ในแต่ละปีท่านจะธุดงค์ตามป่าริมชายแดนจังหวัดทางภาคตะวันตก ประมาณ ร่วมสองเดือนท่านจะกลับมาเล่าเรื่องราวดีดีให้กับพระหนุ่มเณรน้อยในวัดฟัง ถึงบรรยากาศในการปักกลดในที่ต่างๆ.. ก่อนที่ท่านจะ(เสีย)สละกุฏิ เพื่อที่จะออกวัด ท่านจะถวายทุกสิ่งอย่างในกุฏิจนหมด ไม่มีหวงของหรือโลภเก็บไว้เพื่อสนองกิเลสของตนเอง...ท่านแข็งแรงและเป็นที่หนึ่งสำหรับสามเณรในวัดและวัดสาขา..

จิตใจท่่านเยี่ยมยอดไม่เคยปริปากว่าตัวเองพรรษามาก สามารถสอนธรรมหรือเป็นพี่เลี้ยงให้กับสมณะผู้มาใหม่ แต่ตรงกันข้าม ท่านนั่งกอดยองๆกอดเข่าผิงไฟ แล้วคิดอะไรเพลินๆ เงียบๆ ท่ามกลางบทสนทนาเรื่องราวต่างๆ  ผ้าอาบผืนบางๆ ท่านนิยมเอามาปลกไหล่เวลาเดินออกไปเขตวัดชั้นนอก เพื่อทำกิจภาระหรือโปรดญาติโยม... ความสุขุม ทำให้แม่ชี คนวัตร หรือผู้ปฏิบัติธรรมเกรงใจท่านอย่างมาก ด้วยจริต และความงดงามในท่วงที..

ณ วันหนึ่งบรรยากาศสบาย ในบริเวณลานน้ำปานะ ซึ่งจะวุ่นวายไปด้วยพระที่กลับมาจากบิณฑบาตรสายตัวเมือง สายไกล สายรอบวัด สายระแวกบ้าน ทะยอยเดินกลับมายังกุฏิ แต่ต้องเดินผ่านลานน้ำปานะ เป็นศูนย์กลางข่าวสารเรื่องราวต่างๆ และเป็นจุดนัดพบของพระผู้มาจากสาขาต่างๆ ซึ่งมีสิ่งที่สร้างความประหลาดใจ หรือมีหลายอารมณ์และมีทุกวัน...

พระรูปหนึ่ง..ท่านนั่งดื่มน้ำปานะในเขตของผ้าขาว(ชาย)ผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งติดกับเขตของพระ  ท่าทางตัวสั่นเทา นั่งยองๆ บนม้าหิน  มือจับแก้วน้ำปานะที่เป็นกระบอกสแตนเลสใบเล็กจิ๋ว ด้วยอาการพิจารณา เหมือนกับการ  ริมฝีปากขาวซีด เหมือนกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง  สายตาเพิ่งไปยังแก้วใบน้อย ใบหน้าซีดเผือด  ผ้าอาบผืนเก่าๆ สีแก่นขนุนซีดจาง คลุมตั้งแต่ศีรษะที่เพิ่งโกนเมื่อวานตอนเย็น ... นั่งนิ่งเป็นระยะเวลานาน...

เสียงระฆังลูกระเบิดใบสีเหลืองลายสลับแดง... ดังขึ้นช้าๆ ด้วยแรงกระทบจากเหง้าไม้ไผ่  จึงทำให้มีเสียงทุ้ม เย็น ไพเราะ จับใจ... นกกระปูดบินมาเกาะกิ่งกันเกราบริเวณริมสระน้ำใหญ่ ส่งเสียงประสานกับเสียงนกกาเหว่า...  มันช่างเหงาเสียนี่กระไร.. เสียงระฆังดังขึ้น นั่นหมายถึงได้เวลาผู้ปฏิบัติธรรมกำลังจะเริ่มเดินจงกลมในลานปฏิบัติธรรม ที่วัดจัดขึ้นเป็นประจำทุกวัน

บรรยากาศในร่องสวนเก่า ซึ่งปรับสภาพมาเป็นเขตธรณีสงฆ์และที่พักพิงของญาติโยมหลากหลายสาขา  เย็นเยือกตลอดปี เหมือนกับไม่มีฤดูร้อน เพราะต้นไม้ที่ครึ้มทั่วทั้งอาวาส  สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ใหม่ที่เข้ามาเยือนกับทุกคน สร้างความหลงไหล ประทับใจทุกครั้งที่แวะเวียนเข้ามา และในที่สุดก็เป็นศรัทธาที่เข้ามาเป็นผู้ปฏิบัติธรรมประจำ..

ความเหงา..เสียงของบทสนทนาของพระภิกษุ นักบวช และคนขับรถ หรือทุกๆ สรรพสิ่ง หยุดในชั่วขณะ...

...ฟุ๊บ...!!!

".....บุญเลิศ....."

เสียงก้องกังวาลจากอีกมุมหนึ่งของระแวกกุฏิ ดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดมาจากทางตรงกันข้าม...

พระเกือบทุกรูปวิ่งกรูเข้าไปในร่องสวน ซึ่งเ็็ป็นกุฏิที่พำนักของหลวงพี่ท่านนี้...ทางเดินอันคับแคบ เพราะเป็นที่ปลูกต้นไม้เก่าแก่ เป็นสวนกระท้อน ชมพู่ ทุเรียน มะปราง มะพร้าว ฯลฯ ซึ่งณ ตอนนั้นได้ปรับเปลี่ยนเป็นลานจงกรมซึ่งทำด้วยทรายละเอียด ที่จัดขอบด้วยต้นหมาก ตีเป็นทางยาว จัดได้รูปสวย และปลูกพลูด่างติดริมตลิ่งทั้งสองข้าง มีดอกสีม่วงจัดของต้อยติ่งแซมเป็นระยะ..

ร่างไร้สติถูกพระนักบวชหลายท่านช่วยกันประคองออกมาจากลานจงกรมอย่างทุลักทุเล..แต่ด้วยแรงกระแทกของร่างกายที่บึกบึนลงบนพื้นทราย ใบหน้ามีร้อยช้ำจากพื้น ริมฝีปากคล้ำ ไม่มีเลือดฝาด สีหน้าหม่นเศร้า  ขอบนัยน์ตาคล้ำแต่นัยน์ตาหลับไม่สนิท.. 

เรือนร่างที่หนัก แน่น ทำให้ยากต่อการช่วยกันปฐมพยาบาล.. แต่ทุกคนทำงานอย่างรวดเร็ว  โรงพยาบาลวัดอยู่ไม่ถึงร้อยเมตร ไม่นาน เปลขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินได้มาถึง และช่วยกันนำท่านส่งโรงพยาบาลของวัดอย่างรวดเร็ว... เพื่อปฐมพยาบาลช่วยชีวิตก่อนในเบื้องต้น..

บรรยากาศภายในวัดกว่าร้อยไร่ เงียบ ไม่มีคนพลุกพล่านแม้จะเป็นวันพระก็ตาม..ความสงบในสรรพสิ่ง ทำให้จิตใจของผู้ที่รอคอยพระเพื่อน..นั่งเฝ้ารออยู่ที่กุฏิกันอย่างทรมาน..

         บ่ายคล้อย ใกล้เวลาทำกิจวัตร.. รถตู้ของทางวัดนำหลวงพี่บุญเลิศกลับมาอีกครั้ง..เสียงคร่ำครวญตลอดสายทางภายในวัดจนถึงโรงพยาบาล  คณะแพทย์ผู้ชันสูตรศพท่านแจ้งมาว่า หลวงพี่บุญเลิศท่านเสียชีวิตด้วยอาการของหัวใจรั่ว ซึ่งเป็นมานาน ตั้งแต่ยังเด็ก..เสียงหวนไห้ของบรรดานักบวชผู้ที่เคารพรักและศรัทธา... พระอาจารย์ พระเพื่อน พระพี่ พระใหม่ สามเณร ทุกคนร่ำอาลัยกับการจากไปของ "พระเขาทราย" ฉายาที่ทุกคนมอบให้..ด้วยรัก

ร่างพระหนุ่มขาว สะอาด เหมือนนักมวย.. ทุกคนช่วยกันดูแลเป็นครั้งสุดท้าย.. จัดสรงน้ำให้ในห้องเฉพาะบนเตียงสแตนเลสอย่างดีภายในโรงพยาบาล  จัดถวายผ้าจีวรสีกรักแก่นทอง สวยงามจับใส่ และห่มดองสวย สง่างาม สมกับที่ท่านเป็นพระที่กายและใจ  ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพระ เณร ญาติโยมในวัดช่วยกันเป็นครั้งสุดท้าย ในการที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างกุศลครั้งนี้..

บรรยากาศศาลาสวดมนตร์ในยามเย็น มากล้นไปด้วยผู้คนจากภายนอกและภายใน ปากต่อปาก บอกข่าวการจากไปของพระภิกษุ รูปงาม นามไพเราะ พร้อมทั้งเป็นเจ้าภาพบุญน้ำปานะกัน  ทุกคนในอารามทะยอยกันมารดน้ำศพท่านพระอาจารย์บุญเลิศ เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยความโศกศัลย์ เพราะเสียดายที่อายุยังน้อย เสียดายความสามารถ เสียดายความดี เสียดาย... แต่ไม่เสียใจเลยที่ท่านดับสังขารในบุญเขตแห่งนี้...

อนุสรณ์สุดท้ายที่ท่านได้รับจากพระภิกษุในวัดทุกรูป คือ ความตั้งในการจัดต้นไม้ ดอกไม้ประดับ บริเวณศาลาสวดมนตร์อย่างสวยงาม โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินแม้แต่อัฐ เพื่อซื้ออุปกรณ์มาตกแต่ง... งดงามด้วยศีล  งดงามด้วยปัญญา งดงามด้วยคุณค่า  งดงามในความเป็นคน..

หลวงพี่บุญเลิศ ท่านฝากสังขารไว้ละแวกกุฏิอาตมา บริเวณลานจงกรมริมน้ำ ซึ่งอาตมาได้บูรณะเองทั้งหมด โดยลานนี้เป็นลานจงกรมดิน ที่โรยด้วยทราย เวลาน้ำท่วมไม่สามารถใช้ได้  แต่สังขารของหลวงพี่ท่าน ได้ถูกบรรจุไว้ในใจกลางวัด ซึ่งก็คือบริเวณลานจงกรมของอาตมา โบกด้วยปูนละเอียด มีภาพถ่ายของท่านติดไว้บนคานหลังคาในลานจงกรม ที่เรียบง่าย..

ในทุกวันเมื่อก่อนนี้ ท่านจะเป็นแรงใจให้พระทุกรูปได้ปฏิบัติธรรม เอาเยี่ยงอย่าง และเดินรอยตามในความดีงามของท่าน..โรค ภัย ไข้เจ็บใด ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับชีวิต.. แม้มันจะอยู่คู่กับเรานานเพียงใด แต่มันก็เป็นเพื่อนแท้ของเรามิใช่หรือ?

หมายเลขบันทึก: 421424เขียนเมื่อ 20 มกราคม 2011 06:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 18:07 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

นมัสการด้วยความเคารพ   กำลังติดตามครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท