‘อียู’ สั่งระงับนำเข้าพืชไทย
เป็นข่าวพาดหัวอยู่ในขณะนี้
สาเหตุของเรื่อง คือ สินค้าเหล่านี้ถูกตรวจพบปัญหาศัตรูพืชกักกันปะปนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2552 ที่ผ่านมา และทางอียูได้ออกมาตรการควบคุมดูแลเรื่องนี้มาตลอด อาทิ กำหนดให้ผักชี ใบกะเพรา และใบโหระพา ต้องถูกตรวจเข้มที่ระดับ 20% เพื่อตรวจหาสารตกค้างจากยาฆ่าแมลง และให้ตรวจหาการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ โดยเฉพาะเชื้อ Salmonella 10% โดยให้เพิ่มใบสะระแหน่เข้าไปด้วย และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา รวมถึงการคงมาตรการตรวจเข้มสารตกค้างในผักไทยในระดับ 50% ณ ด่านนำเข้าของประเทศสมาชิกอียู จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ถั่วฝักยาวผักในตระกูลมะเขือ และผักในตระกูลกะหล่ำเป็นต้น
ปัญหาการตรวจพบสารตกค้างและศัตรูกักกันในพืชผักของไทยที่ส่งออกไปจำหน่ายที่อียู เป็นปัญหาเรื้อรังมานานแล้ว เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีการตรวจพบปัญหาหลายครั้ง ทำให้อียูต้องใช้มาตรการสุ่มตรวจสินค้า 50% ของสินค้าที่ส่งออกไปทั้งหมด จึงทำให้โอกาสของสินค้าที่ส่งออกไปแล้วซึ่งมีปัญหาจะถูกตรวจพบเกิดขึ้นได้ง่าย การสั่งระงับการส่งออกสินค้าพืชและสมุนไพร โดยเฉพาะในส่วนของกะเพรา โหระพา มะเขือ ไปยังอียู ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะไม่ได้มีผลกระทบแค่เกษตรกรผู้เพาะปลูกที่มีแหล่งผลิตใหญ่อยู่ที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี และฉะเชิงเทรา แต่ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในอียูจำนวนหลายร้อยแห่งจะได้รับผลกระทบไปด้วย จากการขาดแคลนวัตถุดิบในการทำอาหารเนื่องจากร้านค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่จะสั่งนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศไทยเป็นหลัก
สำหรับสินค้าพืชผักและสมุนไพรไทย ที่ถูกตรวจพบศัตรูพืชกักกันปะปนอยู่มีหลายชนิด อาทิ กะเพรา โหระพา มะเขือมะระ สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง เป็นต้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยังอียูคิดเป็นวงเงินสูงถึง700 ล้านบาทต่อปี
สำหรับ พืชผัก 5 ชนิดที่ สหภาพยุโรป (อียู)สั่งระงับ ได้แก่ กะเพรา-โหระพา, ผักชีฝรั่ง, มะระ, มะเขือเปราะ, พริกหยวก ที่พบสารปนเปื้อนถึง 70% ซึ่งทางอียู ประกาศว่า หากทางประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น ก็จะระงับพืชผักในส่วนที่เหลือด้วยเช่นกัน
จากการตรวจสอบข้อมูลเอกสารพบว่า ก่อนหน้าที่กรมวิชาการเกษตรจะเปิดแถลงข่าวระงับการส่งออกพืชและผัก 16 ชนิดไปอียูในวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา อธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้ไปเจรจากับนายอีริค พูเดเลต ผู้อำนวยการคณะกรรมการด้านความปลอดภัยของอาหารของคณะกรรมาธิการยุโรป ด้านสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภค หรือดีจี-แซนโก้ (DG-SANCO) ในวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำอียูว่า อียูเตรียมที่จะออกมาตรการระงับการนำเข้าพืชผักไทย สืบเนื่องจากปัญหาการตรวจพบสารตกค้าง และศัตรูพืชปนเปื้อน
ทั้งนี้เหตุผลสำคัญในการระงับพืชดังกล่าว เนื่องจากทางไทยมีปัญหาด้าน ฟู้ดเซฟตี้ Food safety เป็นอย่างมาก หลังจากมีการตรวจพบสารปนเปื้อนและสารตกค้าง ปัญหาเรื่องศัตรูพืช อีกทั้งยังพบประวัติไม่ดีในการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการบางรายอีกด้วย
แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้กรมวิชาการเกษตรตัดสินใจประกาศระงับการส่งออกสินค้าพืชผักไปอียูดังกล่าว นอกจากจะเป็นการซื้อใจทางอียูแล้ว อาจมาจากสาเหตุความกังวลว่าจะไม่สามารถควบคุมปัญหาได้อย่างเด็ดขาด เพราะในข้อเท็จจริงแล้วการตรวจพบปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดีเท่านั้น ในส่วนของผู้ประกอบการที่มีประวัติดีก็ถูกตรวจพบปัญหาเรื่องศัตรูพืชเช่นกัน