โรงเรียนกวดวิชาสำหรับลูกวัยอนุบาล


หนังสือคุณพ่อจมค่ะ ลูกคงไปเรียนเรื่องวัตถุใดจม-ลอยน้ำ

บันทึกโดยแม่

9 ม.ค. 11 : ลูกฟ้าอายุ 5.4 ขวบ
สิ่งที่แม่กับพ่อใช้เวลาคิดอยู่มากในขณะนี้ก็เป็นเรื่องโรงเรียนประถมของลูก เกณฑ์อายุลูกสามารถสอบเข้า ป.1 เครือสาธิตฯ ได้ในมีนาคมที่จะถึงนี้ แต่ยังอ่อนเกณฑ์สำหรับเครือคาทอลิก ซึ่งแม่กับพ่อได้ตัดสินใจเอาลูกลงสนามแข็งขันสอบด้วย แม่ได้ให้ลูกเตรียมตัวโดยเข้าคอร์สติวเมื่อ กลาง มิ.ย. ปีที่แล้ว อาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่ได้รับการต่อต้านจากลูกเป็นอย่างมากใน 2 เดือนแรก ด้วยนิสัยของลูกเป็นที่รู้ดีสำหรับพ่อแม่ว่า เป็นนักต่อรองชั้นยอด ลูกบอกกับพ่อแม่และทุกคนว่า “มันเป็นโรงเรียนที่ยากที่สุดในจักรวาล หนูไม่อยากเรียนมันยาก เพื่อนหนูยังไม่เห็นต้องไปเลย หนูไม่เห็นอยากจะสอบสาธิต ในโลกนี้ไม่ควรจะมีครู... หรือในโลกนี้ไม่ควรจะมีวันพุธเลย” อีกสารพัดประโยคที่ลูกได้พูดออกมา บ่งบอกถึงความทุกข์ที่ลูกมี แต่มันช่างขัดแย้งกับผลการเรียนและสิ่งที่ลูกถ่ายทอดให้แม่ฟังด้วยสีหน้าสดใสหลังจากลูกเรียนจบในทุกครั้ง หลายๆ ครั้งที่แม่ต้องกลับมาทบทวนพร้อมกับปรึกษาคุณครู ก็ได้รับคำยืนยันจากครูว่า “ลูกเป็นเด็กเก่ง สามารถรับได้ในทุกเรื่อง เป็นเด็กที่เอาแน่ได้ มีความตั้งใจสูง” สีหน้าคุณครูออกอาการงุนงงว่ามีอาการอย่างที่แม่ได้พูดไป ครูได้อธิบายให้หนูเข้าใจกระบวนการของสมองในการจัดการกับสิ่งที่ยากอย่างไร หนูออกมาขอกล้องจุลทรรศน์กับแม่เพื่อขอดูเซลสมอง โชคดีที่แม่มีหนังสือเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์อธิบายเซลสมองและการเชื่อมโยงของเส้นประสาทให้ลูกฟัง ลูกสนใจมากและบอกว่าหนูจะเชื่อแม่ หลังจากนั้นหนูให้ความร่วมมือดีขึ้น งอแงน้อยลง รับรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ต้องทำ แม่-พ่อมาวิเคราะห์ดูแล้วก็พอจะรู้ว่า ลูกยังไม่เคยได้รับการจัดระเบียบวินัยในเรื่องนี้ หลังเลิกเรียนกิจวัตรปกติของลูกคือดูทีวี เล่น ๆ และดูทีวี
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จะมีลูก แม่วิจารณ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำกับระบบการศึกษาบ้านเราและโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งเราก็เคยคิดไว้ว่าจะไม่เอาลูกเข้าสู่วงจรนี้เด็ดขาด เด็กควรจะได้เติบโตอย่างมีความสุขผ่านการเล่นที่จะมีผลต่อพัฒนาการและการเติบโตของเขา พอมีลูกเอง เราไม่สามารถเดินฝ่ากระแสที่เป็นอยู่ได้ กลับตกเข้าไปในวังวนของระบบอย่างเต็มใจ มีเหตุผลในหลาย ๆ ข้อ เช่น 1. ลูกมีช่วงเวลาที่มีความสุขมาทั้งวันอย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน 2. การฝึกสมองผ่านกระดาษใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 3. การฝึกฝนดังกล่าวได้พัฒนาทักษะกระบวนการคิดของลูกในทุกทาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะติดตัวลูกไปจนโต 4. ความรู้สึกไม่ชอบของลูก เกิดจากความเป็น 2 มาตรฐานของการเลี้ยงดู ทั้งหมดนี้ถ้าได้รับการจัดการดี ๆ ลูกจะก้าวเดินผ่านช่วงเวลานี้ได้อย่างมีความสุข แม่เห็นพัฒนาการที่มาพร้อมกับความสุขของลูกในทุกวันแม่ก็ชื่นใจแล้ว เรื่องระบบการศึกษาเลิกคิดได้เลย หันมาจัดการตัวเราและครอบครัวภายใต้ระบบดังกล่าวให้ดีดีกว่า ที่พูดทั้งหมดนี้แม่ไม่ได้ผลักดันว่าลูกต้องสอบได้ หรือโรงเรียนนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วนะ แม่กับพ่อมีแผนสำรองค่ะ
ปล. พ่อคงมีความสุขมากค่ะวันนี้ หลังจากลูกกลับมาจากโรงเรียนติว ลูกเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำใส่กะลามังอยู่พักใหญ่ และวิ่งเข้า-ออกห้องน้ำหลาย ๆ รอบ โดยไม่มีใครสนใจ เสร็จแล้วลูกกลับออกมาบอกพ่อแม่ว่า หวีลอย ดินสอลอย ผมตุ๊กตาลอย ช้อนพลาสติกลอย ............................... และหนังสือคุณพ่อจมค่ะ  ลูกคงไปเรียนเรื่องวัตถุใดจม-ลอยน้ำ (เป็นข้อพิสูจน์ได้อีกข้อว่า Project approach น่าจะเป็นระบบการเรียนการสอนที่ดีนะคะ)



หมายเลขบันทึก: 419472เขียนเมื่อ 10 มกราคม 2011 21:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท