ตอน กำเนิดชีวิต...
ตอน
กำเนิดชีวิต...
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ.2505 เวลาประมาณตีสอง
แม่ได้ให้กำเนิดทารกเป็นเพศหญิง รูปร่างอ้วนจ้ำม้ำ ผิวสีแทน แม่บอกว่า
ผู้เขียนเกิดที่โรงพยาบาลเขื่อนภูมิพล
อำเภอสามเงา
จังหวัดตาก เหตุที่ผู้เขียนได้เกิดที่โรงพยาบาลนี้
ก็เนื่องมาจาก พ่อของผู้เขียนได้ไปทำงานเพื่อสร้างเขื่อนภูมิพล
เพราะพ่อของผู้เขียนเก่งในเรื่องการเป็นช่างไม้ ช่างก่อสร้างตึก
โดยทำงานกับนายฝรั่งซึ่งประสบการณ์ของพ่อ พ่อจะนำใบ Lack
ที่เป็นใบรับรองการผ่านงานโดยนายฝรั่งจะเป็นคนเซ็นผ่านงานให้มาอวดให้ลูก
ๆ ดูอยู่เสมอว่าพ่อสามารถทำงานชิ้นใหญ่ร่วมกับฝรั่งได้
เสมือนกับเป็นความภาคภูมิใจของพ่อเอง
และสถานที่แห่งนี้นี่เองที่ทำให้พ่อกับแม่มาพบรักกันเพราะแม่เป็นแม่ค้าหาบขนมขาย
แม่จะเป็นคนขายของเก่งมากเพราะแม่เป็นคนพูดจาอ่อนหวาน
หน้าแม่จะยิ้มและอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งผู้เขียนอาจได้จากแม่มาจนถึงทุกวันนี้
อีกอย่าง แม่เป็นคนจังหวัดตาก
ซึ่งยายเสียชีวิตตั้งแต่แม่ยังเป็นสาวน้อย
และตามีภรรยาใหม่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทิ้งลูก ๆ ทั้ง 4
คน ให้ยายเลี้ยงดู จนยายเสียชีวิต
แม่ต้องอยู่กับพี่สาวและพี่เขย ซึ่งแม่จะสอนให้ผู้เขียนเรียก ลุง กับ
ป้า ว่า “พ่อเวศน์และแม่คำ”
และแม่ก็เรียกเช่นนั้น เนื่องจากแม่ไม่มีแม่แล้ว
ผู้เขียนก็จะเรียกเช่นเดียวกับที่แม่เรียกเหมือนกัน
เมื่อการสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จสิ้น
พ่อก็ชวนแม่มาอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม และแม่ก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่ง
ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าแม่คลอดน้องที่บ้านโดยมีหมอตำแย
ซึ่งชาวบ้านจะเรียกว่า “ป้าช้อย”
เป็นหมอตำแยมาทำคลอดให้แม่ ผู้เขียนในขณะนั้นจำความได้แล้ว
อายุประมาณ 3 ขวบ เพราะผู้เขียนกับน้องเกิดห่างกัน 3 ปี
ผู้เขียนจำได้ว่าแม่เจ็บท้องนานถึง 3 วัน 3 คืน
กว่าจะคลอดน้องออกมาได้ ผู้เขียนเห็นแม่นอนปวดท้อง ร้องไห้
ก็เลยร้องไห้ตาม เลยโดนพ่อดุบังคับไม่ให้ร้อง ขณะนั้น
ผู้เขียนจำความได้แล้ว...แม่บอกผู้เขียนว่า ทั้งผู้เขียนและน้องสาว
แม่กว่าจะคลอดได้ แม่ทรมานมาก ปวดท้องอยู่ประมาณ 3 วัน 3 คืน
เช่นเดียวกันทำให้ผู้เขียนเกิดความรักและผูกพันกับแม่มากเพราะสมัยก่อนแม่จะอาศัยการเล่า
ความใกล้ชิดกับลูก ๆ มาก น้องของผู้เขียน ชื่อเล่นว่า
"หมู"
เพราะน้องออกมาตัวขาวเหมือนแม่ สำหรับผู้เขียนผิวจะสีเหมือนพ่อ
สมัยก่อน เพลงข้าวนอกนา ดังมาก
ผู้เขียนกับน้องจึงได้รับสมญาเช่นเพลงอย่างไงอย่างนั้น...
ครอบครัวของผู้เขียนอยู่ที่อำเภอพรหมพิรามได้สักระยะหนึ่ง
พ่อกับแม่ ผู้เขียนและน้อง ก็ไปอยู่ที่อำเภอสัตหีบ
จังหวัดชลบุรี
เนื่องจากนายฝรั่งที่เคยทำงานกันที่เขื่อนภูมิพลได้ชวนให้พ่อไปทำงานต่อที่ฐานทัพเรือสัตหีบ
พ่อเคยบอกว่า เหตุที่นายฝรั่งชวนพ่อและพวกลุง ๆ
ไปทำงานด้วยเพราะว่า นายฝรั่งเคยบอกว่า พวกพ่อทำงานดี ละเอียด ประณีต
ขยัน ไม่ย่อท้อ เรียกว่า “มีฝีมือดี” ในด้านการก่อสร้าง
และที่นั่นเองที่ทำให้ผู้เขียนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนธรรมวิทยา
อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ผู้เขียนจำความได้ว่า
ตอนเข้าเรียนชั้นอนุบาลในตอนเช้าจะมีรถประจำโรงเรียนมารับที่หน้าบ้านเช่า
ซึ่งแม่ก็ต้องออกมาส่งเพื่อขึ้นรถทุกวันและมารับกลับเข้าบ้านในตอนเลิกเรียนทุกวันเพราะถนนมีรถวิ่งพลุกพล่านมาก
ผู้เขียนในขณะนั้นจำความได้แล้ว ความรู้สึกในขณะนั้น
ผู้เขียนไม่ค่อยอยากเรียนสักเท่าไร อยากอยู่กับแม่ ไม่อยากเรียน
เวลาไปโรงเรียนแม่ชอบนำบิ่นโตใส่ข้าวให้ 1 ชั้น กับข้าวส่วนใหญ่ คือ
ไข่ไก่ต้ม 1 ฟอง + น้ำปลา และอีกชั้น แม่ชอบซื้อขนมปังแห้ง
เวลาทานผู้เขียนรู้สึกว่าคอแห้งทุกครั้งที่รับประทาน ให้อีก 1 ชั้น
รวม บิ่นโต 1 เถา มี 3 ชั้น และอีกมือจะถือกระเป๋าหนังสีดำ ใบโต ๆ
ถ้าแม่ยังไม่ออกมารับ
เมื่อรถประจำทางมาส่งถึงปากซอยหน้าบ้านแล้ว
ผู้เขียนจะบอกกับคุณครูที่จูงมือผู้เขียนลงมาจากรถว่า
“คุณครูขา...ช่วยพาหนูข้ามถนนหน่อยค่ะ”...เพราะแม่เคยสอนไว้
ห้ามข้ามถนนคนเดียวเด็ดขาด...เป็นประจำทุกครั้งที่แม่ยังไม่ออกมารับ
และผู้เขียนก็จำได้ว่า
มีเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เทียวรถประจำทางด้วยกันทุกวัน
ชื่อ “ดาว”
ผู้เขียนจำได้ว่าตอนเรียนชั้นอนุบาล
คุณครูชอบบังคับให้นอนหลับ ไม่หลับก็บังคับให้หลับ
มีอยู่วันหนึ่งฝนตกหนัก ใครจะไปหลับลงอากาศเย็นก็เย็น
รู้สึกปวดปัสสาวะ
จึงขออนุญาตคุณครูลงไปห้องน้ำ...แต่ขอโทษค่ะ...เรื่องนี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย
แต่ตัวเองจำได้ว่า...ไปไม่ถึงห้องน้ำหรอกค่ะ...เพราะการเป็นเด็ก ๆ
ทุกคนก็ทราบ...พอลงบันไดเท่านั้นแหล่ะค่ะ...ไม่ไหวแล้ว...ตรงบันไดด้านล่างนั่นแหล่ะค่ะ...ความคิดอุตริ
ขืนขึ้นไปแบบนี้ ก็รู้ทั้งรู้ว่า “ฉี่” รดกระโปรง มันต้องเหม็นแน่
ๆ...เลยไปยืนให้ฝนตกชะกระโปรงเพื่อไม่ให้เหม็นอีก...555555...ตอนนั้น
ไม่รู้ว่า
ผู้เขียนคิดได้ไง...ผลสุดท้ายเปียกมะร่อกมะแร่ก...ขึ้นไปชั้นบน
คุณครูไม่ทราบหรอกค่ะว่าฉี่รดกระโปรง เลยนำชุดการแสดงที่ของเด็ก
ๆ มีอยู่ มาเปลี่ยนให้ก่อน
เพราะเกรงว่าผู้เขียนจะเป็นหวัด...พอตกเย็นจึงเปลี่ยนเป็นกระโปรงให้ใหม่...
มีอยู่อีกวันหนึ่ง
ไม่รู้เป็นอย่างไร อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าไม่ชอบไปโรงเรียน
แม่ไปส่งขึ้นรถประจำทางเช่นเคย พอถึงโรงเรียนก็เข้าเรียน
แต่คอยมองดูคุณครูว่า “อย่าเผลอนะ” ถ้าเผลอฉันวิ่งหนีจริง ๆ ด้วย...มีอยู่ช่วงหนึ่ง
พอครูเผลอ ผู้เขียนคว้ากระเป๋า + บิ่นโตข้าว
วิ่งหนีออกนอกโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน
ผ่านถนนใหญ่ที่มีรถยนต์วิ่งผ่านเร็วมาก พอหันหลังกลับ...ตายแล้ว
คุณครู
(ซึ่งขณะนั้นท้องแก่ด้วยค่ะ...ถีบจักรยานตามมา)...ผู้เขียนก็วิ่งสุดชีวิต
ไม่สนใจว่าจะโดนรถชนหรือไม่...วิ่งไปจนถึงบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าไกลก็ไกล
แต่วิ่งไปจนถึง...พอถึงบ้านเท่านั้นแหล่ะค่ะ...ไม้เรียวจากฝีมือแม่ไม่รู้ว่ากี่ที
กี่ครั้ง
นับไม่ถ้วนค่ะ...หวดที่ก้นเป็นแนว...ผู้เขียนยังจำได้เพราะเอามือลูบดูเป็นปื้น
ๆ เลยค่ะ...เรียกว่า “เป็นวีรกรรม
ออกแนวเกเรค่ะ”...นับแต่นั้นก็ไม่หนีโรงเรียนอีกเลยค่ะ...
อีกครั้งหนึ่ง
คุณครูพานักเรียนไปเที่ยวด้านหลังของโรงเรียนจะมีน้ำตกไหล
ความที่คุณครูต้องการสอนให้นักเรียนรู้จัก เรื่อง
“น้ำตก” จึงพาไปดู สมัยก่อนผู้เขียนจะใส่รองเท้าแตะแบบสวม ๆ
ไปโรงเรียน
ไม่ได้สวมรองเท้าหนังสีดำเช่นปัจจุบัน...ความที่ต้องเดินผ่านสะพานแล้วผู้เขียนก็ยังเป็นเด็ก
ความที่เดินเด็กไม่มีความมั่นคงในการเดินอยู่แล้ว...เวลาเดินก็เดินโงนเงน
ทำให้รองเท้าตกน้ำ...ผู้เขียนก็ได้ร้องโวยวายใหญ่ บอกคุณครูว่า
“คุณครูขา
รองเท้าตกน้ำค่ะ”...”เก็บให้หนูด้วยค่ะ”...เท่านั้นแหล่ะค่ะความโกลาหนจึงเกิดขึ้น
ครูผู้หญิงตามรองเท้าไม่ทันหรอกค่ะ...ได้คุณครูผู้ชายวิ่งตามเก็บมาให้ได้...อื้อฮื้อ...เหนื่อยจังกับแม่คนนี้...เป็นเด็กผู้หญิงแท้
ๆ ยังสร้างวีรกรรมกับเขาได้ไม่แพ้เด็กผู้ชายเลยนะ...
รูปของพ่อ ถ่ายตอนที่ทำงานกับนายฝรั่ง
ที่สร้างเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก...
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2505
รูปของพ่อถ่ายกับนายฝรั่ง
ตอนสร้างเขื่อนสิริกิติ์ ประมาณ พ.ศ. 2510 -
2511
(ถ้าจำไม่ผิด เพราะตอนนั้น
ผู้เขียนเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่
4)...
ถ่ายที่เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา
จังหวัดอุตรดิตถ์
พ่อเคยทำงานกับนายฝรั่ง สร้างฐานทัพเรือที่สัตหีบ
จังหวัดชลบุรี...
รูปของ "พ่อนิเวศน์
มหาวัน"...ความจริงเป็นลุง...
แต่พ่อ - แม่ สอนให้เรียกว่า
"พ่อเวศน์"
อ่านประสบการณ์ชีวิตของการทำงาน
"รับราชการ"
ทุกฉบับ ได้จากที่นี่...