PUBLIC HEALTH OFFICE IN NONG BUA :
HISTORY OF MY LIFE AND SERVICE
๒๕๐๖-๒๕๒๖ (คศ. ๑๙๖๓-๑๙๘๓)
หมออรุณ : แพทย์หญิงเออร์ซูลา ลีเวนธัล Dr. Ursula Loewenthal
กับโรงพยาบาลคริสเตียน ก่อนจะมาเป็นโรงพยาบาลอำเภอหนองบัว
ชาวไทยโดยเฉพาะชาวหนองบัวรู้จักฉันในชื่อว่า หมออรุณ ฉันมีชื่อจริงว่า Ursula Loewenthal เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ คุณพ่อและคุณแม่เป็นยิว เกิด ณ เมือง Brieg รัฐ Silesia ในสมัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมัน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘(๑๙๔๕) หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์ ครอบครัวฉันหนีสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของเผด็จการฮิตเลอร์ไปอยู่ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ.๒๔๘๑(๑๙๓๘)
ภาพที่ ๑ หมออรุณ : แพทย์หญิงเออร์ซูลา ลีเวนธัล หมอมิชชั่นนารีโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวเมื่อปี ๒๕๐๖ ปัจจุบันอยู่ในวัย ๘๓ ปีได้กลับไปอยู่ประเทศอังกฤษและเขียนบันทึกนี้เมื่อปี ๒๕๕๑ มอบให้แก่ นางถนิม อ่วมวงษ์ หรือหมอหนิมของคนหนองบัว หมออนามัยยุกคบุกเบิก และหมอหนิมได้มอบให้แก่ท่านพระอาจารย์มหาแล อาสโย(ขำสุข) ซึ่งได้นำมาเผยแพร่และบันทึกไว้ให้เป็นประโยชน์แก่ชาวหนองบัวและสาธารณชนต่อไป
ฉันเรียนหนังสือที่ประเทศอังกฤษ เมื่อจบไฮสคูลแล้วเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.๒๔๘๘ (๑๙๔๕) ศึกษาภาษาฝรั่งเศสในกรุงลอนดอน ระหว่างศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ ๑ มีความรู้สึกเรียกร้องให้ฉันเรียนหมอเพื่อจะออกไปทำงานกับมิชชั่นนารี หลังจากนั้นฉันจึงศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ที่วิทยาลัยเทคนิค (Technical College) และไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จนกระทั่งจบการศึกษาเป็นแพทย์ในเดือนมิถุนายน ๒๔๙๖ (June, ๑๙๕๓) ได้ปริญญา M.B, Ch.B.
หมออรุณกับชีวิตและการงานในหลายท้องถิ่นไทย
ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๘ (๑๙๕๕) เดินทางจากประเทศอังกฤษในฐานะสมาชิกของสมาคมมิชชั่นนารีโพ้นทะเล ซึ่งมิชชั่นนารีคณะนี้ มาถึงครั้งแรก ณ สำนักงานใหญ่ ที่ประเทศสิงค์โปร์ หัวหน้ามิชชั่นนารีเป็นผู้ตัดสินใจว่า ฉันควรไปประเทศใดและตัดสินให้ฉันมาประเทศไทย
ฉันเริ่มศึกษาภาษาไทยที่นั่น จากนั้นจึงเดินทางมาถึงประเทศไทยในวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๙(Appril ๑๕ ๑๙๕๖) อยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ ๑ เดือน และอีก ๒ เดือนที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนสอบเพื่อรับในประกอบโรคศิลปะที่กระทรวงสาธารณสุข สอบได้ใบประกอบโรคศิลปะ ว. ๑๙๕๘ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๙(August ๑๙๕๖)
ปี พ.ศ.๒๔๙๙ (ค.ศ. ๑๙๕๖) จนถึงสิ้นปี พ.ศ.๒๕๐๑ (ค.ศ.๑๙๕๘ ) ฉันได้ย้ายไปปฏิบัติงานที่คลีนิคคริสเตียน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง แต่ต้องไปช่วยปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ และคลีนิคคริสเตียนที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีเป็นครั้งคราวด้วย
ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ (December ๑๙๕๘) ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ (May ๑๙๖๐) ได้ย้ายไปอยู่ภาคใต้ของประเทศลาวเพื่อไปดูแลชนกลุ่มน้อยที่นั่น แล้วเดินทางกลับประเทศอังกฤษ เพื่อรายงานผลต่อศาสนจักร ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๔(May ๑๙๖๐- May ๑๙๖๑) ในระยะนั้นคอมมิวนิสต์จากประเทศเวียตนามเริ่มรุกรานประเทศลาว ฉันใช้เวลาในกรุงเทพฯ เพื่อขอวีซ่าไปประเทศลาว ดังนั้น จึงใช้เวลาหลายสัปดาห์ช่วยงานแพทย์ที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ ก่อนที่จะกลับไปประเทศลาว ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ (August ๑๙๖๑) และในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (March, ๑๙๖๒) ถูกเรียกตัวกลับมาโรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ ทำหน้าที่ในคณะรักษาพยาบาลในช่วงโรงพยาบาลขาดแคลนแพทย์และตัดสินใจที่จะอยู่ในประเทศไทยตลอดไป
สู่หนองบัว : พัฒนาการของสถานบริการสุขภาพและระบบสุขภาพชุมชนก่อน ทศวรรษ ๒๕๑๐
ในห้วงเวลานี้คณะมิชชั่นนารีมีนโยบายที่จะเปิดคลีนิก เพื่อขยายเป็นโรงพยาบาลที่หนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ และได้เปิดคลีนิคอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๖(February ๑๙๖๓) โดยเช่าห้องแถว ๕ ห้องที่สี่แยกริมถนนในตลาดหนองบัว จนกระทั่งสร้างโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว บนที่ดินที่มีผู้อุทิศให้ ๗ รายแล้วเสร็จ ตั้งอยู่ห่างจากตลาดไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร จึงได้ย้ายไปดำเนินการในสถานที่ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๑
ในระยะแรกหมอจอห์น ตูป (Dr. John Toop) มีหน้าที่รับผิดชอบ และฉันเป็นผู้ร่วมงานด้วย หลังจากนั้นสองสามสัปดาห์ต่อมาคุณหมอจอห์น ตูป ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลสายบุรี จังหวัดปัตตานี ฉันจึงอยู่รับผิดชอบคนเดียว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ (June ๑๙๖๒) เป็นต้นมา
พ.ศ. ๒๕๐๘ ถึงธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๙(December ๑๙๖๕-December ๑๙๖๖) ฉันกลับไปประเทศอังกฤษอีก มีคุณหมอ ๒ คน คือ คุณหมอจอห์น และคุณหมอแอนนี่ ทาวน์เซ่น (Dr. John and Dr. Anne Towsend) มาปฏิบัติงานแทนในห้วงเวลานั้น
ปี พ.ศ.๒๕๑๐ (ค.ศ.๑๙๖๗) มีการก่อสร้างอาคารสถานใหม่ของโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๐ คุณหมอ Rachel Hiller มาช่วยปฏิบัติงานในฐานะหมอคนที่สอง และเปิดใช้เป็นโรงพยาบาลใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๑(February ๑๙๖๘) (ฉันคิดว่าพิธีเปิดน่าจะเป็นวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๑)
ในปี พ.ศ.๒๕๑๒ (ค.ศ.๑๙๖๙) หมอฮิลเลอร์และครอบครัวเดินทางกลับอังกฤษ ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๑๔ (Appril ๑๙๗๑) ฉันก็กลับประเทศอังกฤษ ต่อมาอีก ๑ ปี O.M.F. ส่งหมอสองคนมาปฏิบัติงานต่อ ชื่อ คุณหมอ Ashton และคุณหมอ Gurtler
ฉันครบกำหนดกลับมาเมืองไทยในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๑๕(Appril ๑๙๗๒) ต้องการที่จะกลับมาหนองบัว แต่ O.M.F. ต้องการให้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลมโนรมย์ฉันจึงปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลมโนรมย์แล้วไปอยู่โรงพยาบาลสายบุรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ระหว่างกรกฏาคม พ.ศ.๒๕๑๕ (July ๑๙๗๒) ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๖ (November ๑๙๗๓)
ต่อมา O.M.F. ตัดสินใจให้ฉันปฏิบัติงานที่หนองบัว และส่งคุณหมอ Graham Roberts มาเป็นคุณแพทย์ ร่วมคนที่ ๒ ระหว่าง ๙-๑๐ ปีต่อมา ฉันเดินทางกลับไปอังกฤษอีกเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่น เป็นเวลา ๓ เดือน ในกลางปี พ.ศ. ๒๕๑๙(ค.ศ. ๑๙๗๖) และในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ (ค.ศ.๑๙๘๐)
ยุติโรงพยาบาลคริสเตียน
และมอบให้รัฐบาลไทยดำเนินการโรงพยาบาลหนองบัว
ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๕ (ค.ศ.๑๙๘๒) หัวหน้า O.M.F. มองเห็นปัญหาของผู้ปฏิบัติงานโรงพยาบาลซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ลำบากยิ่งขึ้นสำหรับคณะมิชชั่นนารีเกี่ยวกับการตรวจสอบของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่พอใจเกี่ยวกับการให้พยาบาลต่างชาติมีสิทธิ์สอบให้สามารถทำงานในประเทศไทย ทางคณะของผู้นำจึงตัดสินปัญหาโดยยกโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวให้รัฐบาลไทยและจัดการให้มีคณะปฏิบัติงานเป็นคนไทยที่โรงพยาบาลมโนรมย์มากขึ้น
โรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว จึงปิดลงในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ (June ๑๙๘๓) ในโอกาสเดียวกัน โรงพยาบาลรัฐประเภท ๑๐ เตียงได้เปิดดำเนินการในบริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ราชการอำเภอหนองบัว ในฐานะที่ทำงานอยู่กับพี่น้องชาวหนองบัวและพี่น้องในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี ฉันเสียใจกับการปิดโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัว จึงยื่นใบลาออกจาก O.M.F.
เฝ้ารอเวลาอนุมัติใบลา ๖ เดือน เมื่อมีผลแล้วฉันก็กลับไปประเทศอังกฤษในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๒๖ (September ๑๙๘๓) ได้ใช้เวลาศึกษาหาความรู้ด้านการศาสนาที่เริ่มต้นไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๑๔ (๑๙๗๑) จนจบหลักสูตร
กลับมาประเทศไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๗(ค.ศ.๑๙๘๔) ฉันได้รับเชิญไปทำงานกับหมอคริสเตียนชาวไทย ซึ่งมีโรงพยาบาลส่วนตัวที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ฉันไม่สนุกกับการทำงานในตัวเมืองเช่นตัวจังหวัด ซึ่งมีโรงพยาบาลรัฐดีๆ แต่เรียกค่ารักษาพยาบาลแพงกว่า จึงลาออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เป้าประสงค์คือต้องการช่วยเหลือคนเจ็บไข้ได้ป่วยผู้ต้องการความช่วยเหลือมากๆ ฉันจึงทำงานที่จังหวัดกาฬสินธุ์เพียง ๑๓ เดือน และมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย(WVFT) ต้องการได้ฉันไปทำงานในโครงการพิเศษกับชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือของประเทศไทย และยังมีความต้องการเช่นนั้นตลอดมา
ดังนั้น ในบั้นปลายเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๒๘(ค.ศ.๑๙๘๕) ฉันเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ทำงานกับ WVFT ร่วมมือกับองค์กรหลากหลายและโครงการของในหลวง เราให้ความรู้แก่ชาวเขา (Tribal Villagers) และโดยเฉพาะพวกหัวหน้าเกี่ยวกับการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ซึ่งอันจะนำพาไปสู่ปัญหายาเสพติด ในเวลานั้นคือฝิ่น และเฮโรอีน ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยและโครงการในชื่อต่าง ๆ เรามี ๒๗ แคมพ์ เพื่อให้คำแนะนำการเลิกยาเสพติดในหมู่บ้านต่างๆ เวลาเดียวกันในแต่ละแคมพ์ WVFT จัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่และเครื่องมือให้รัฐบาลไทยสนับสนุนผู้พยาบาลและหน่วยป้งอกันให้ เราทำหน้าที่แบบไม่ใช้เป็นเครื่องชักจูงเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา แต่ปัญหาต่างๆ ก็เกิดขึ้น เช่น การหละหลวมในระบบความปลอดภัย ติดตามด้วยความขาดแคลนสิ่งต่างๆ ผลลัพธ์จึงไม่เป็นที่พอใจแก่คณะทำงาน
ขณะเดียวกันฉันได้รับเชื้อเชิญร่วมงานกับคณะผู้สอนศาสนาที่จังหวัดพะเยา (Phayao Bible Training Center) ชื่อนี้ได้เปลี่ยนเป็น Phayao Bible College ในปี พ.ศ.๒๕๓๘ (ค.ศ.๑๙๙๕) และเป็น Phayao Bible Seminary ๒๐๐๘) และฉันมีคุณสมบัติทางด้านนี้ที่ได้ศึกษามาเพิ่มเติมเมื่อครั้งปิดโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวแล้วกลับประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ (ค.ศ.๑๙๘๓)
สุดท้ายได้ตอบรับเชิญกับคณะผู้สอนศาสนาจังหวัดพะเยา ฉันใช้เวลา ๑ ปี ที่ยื่นใบลาออกจาก WVFT และในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. ๑๙๙๑)ได้ย้ายไปอยู่จังหวัดพะเยา สำหรับ ๑๗ ปีสุดท้ายแห่งชีวิต ฉันได้สอนนักศึกษาที่นั่น เมื่อพวกเขาจบจากการฝึกอบรมที่นี่จะออกไปเป็นผู้นำโบสถ์และทำงานให้แก่ศาสนาคริสเตียน
ฉันยังมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการบัญชีและการเงิน และใน ๖ ปีสุดท้ายฉันได้รับตำแหน่งอธิการของโรงเรียนในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ (Appril ๒๐๐๘) ฉันได้เกษียณอายุตนเองในวัย ๘๐ ปี กลับสู่ประเทศอังกฤษ ประเทศที่ฉันอาศัยอยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิต
สิ่งที่ประทับใจในความทรงจำที่มาอยู่หนองบัว
และหมออรุณกับหมอหนิมของชาวหนองบัว
สิ่งที่ประทับใจฉัน คือหัวหน้าคณะสำรวจพื้นที่อำเภอต่างๆ สำรวจดูว่าอำเภอในขาดแคลนโรงพยาบาล ทางชาวอำเภอหนองบัว ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเชื้อเชิญให้มาตั้งสถานพยาบาล โดยมีเจ้ของที่ดิน ๗ รายรวมกันถวายที่ดินประมาณ ๓๙ ไร่ สำหรับสร้างโรงพยาบาลในอนาคต และจัดเตรียมอาคารบริเวณสี่แยกในตลาดเป็นห้องแถวของเถ้าแก่ย่งเตี๊ยะ แซ่จึง ให้เช่าและใช้เปิดเป็นคลีนิคก่อนโดยทำการดัดแปลงบ้างให้เหมาะกับความต้องการ ขอให้ตั้งหอถังน้ำสูงพร้อมปั๊มน้ำให้สูบน้ำจากสระกลางตลาด คิดว่าเป็นแห่งเดียวที่สูบน้ำเช่นนี้ได้ และสถานพยาบาลมีสิทธิ์ขอให้เปิดไฟฟ้าถ้ามีเหตุฉุกเฉินกลางคืน(สมัยนั้นการไฟฟ้าภูมิภาคมีโรงปั่นไฟฟ้าใช้ได้แค่หัวค่ำและเช้ามืด)
ภาพที่ ๒ สี่แยกตลาดหนองบัวและโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวเมื่อแรกก่อตั้ง
ก่อนย้ายไปแห่งที่สองในปี ๒๕๑๑ ในแหล่งที่เป็นโรงพยาบาลอำเภอหนองบัวดังปัจจุบัน
ดังบันทึกของหมออรุณ : แพทย์หญิงเออซูลา ลีเวนธัล
ภาพที่ ๓ โรงไฟฟ้าสำหรับปั่นไฟตอนเย็นและเช้า ที่เกาะลอย อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
ดังบันทึกของหมออรุณ : แพทย์หญิงเออร์ซูลา ลีเวนธัล
อนึ่งคุณหมอถนิม ผดุงครรภ์อนามัยซึ่งเป็นขวัญใจชาวหนองบัวให้ความร่วมมืออย่างดีโดยตลอด ปีแรกใน พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. ๑๙๖๓) ทางคมนาคมลำบากมากจำได้ว่าอาจารย์ประจำอำเภอชุมแสง นำยาและอุปกรณ์มาให้ที่อำเภอหนองบัว จากสถานีรถไฟในเดือนสิงหาคม ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบทั้งวัน อาศัยรถจี๊ป ๒ ตอน เรือ ๒ ตอน และเกวียนบ้าง แม้ในฤดูร้อนรถจี๊ปซึ่งเป็นรถโดยสารปกติต้องลงจากถนนขับไปตามริมนาเป็นบางแห่ง
ภาพที่ ๔ หมอหนิม : นางถนิม อ่วมวงษ์ พยาบาลผดุงครรภ์และหมออนามัยในยุคบุกเบิกของอำเภอหนองบัวและร่วมสมัยกับการก่อตั้งโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวในยุคที่หมออรุณ : แพทย์หญิงเออร์ซูลา ลีเวนธัล มาประจำเป็นแพทย์และหมอเผยแพร่ศาสนา ปัจจุบันหมอหนิมมีอายุ ๘๓ ปีและยังมีชีวิตอยู่ ซ้าย : พระอาจารย์มหาแล อาสโย(ขำสุข) ซึ่งได้มีโอกาสนทนากับหมอหนิมและหมอหนิมได้มอบบันทึกของหมออรุณนี้ให้แก่ท่าน
สภาวการณ์สุขภาพและสภาวการณ์สังคมร่วมสมัย
กับพัฒนาการเทคโนโนโลยีและระบบสุขภาพท้องถิ่นหนองบัว
ส่วนอุปกรณ์ทางแพทย์เตรียมไว้แต่แรกนอกจาก x-ray ปีแรกใช้อันเล็ก (คือ ๑๒ มิลลิแอมป์ เท่านั้น) แล้วไม่ได้มา จนเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. ๑๙๖๓) ได้มาพอดี หลังจากการผ่าตัดกะโหลกหญิงคนหนึ่งซึ่งได้ถูกปืน ขณะ x-ray ได้พบว่ามีเม็ดกระสุนเหลือบ้างก็สามารถเอาออกได้อีก ปีแรกนั้นไม่มีเตียงแบบโรงพยาบาล มีแต่แบบธรรมดา จึงจำเป็นต้องประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ขณะรับชายถูกปืนซึ่งกระดูกขาบนหักเกือบ ๒ วันก่อน
การไม่เข้าใจการรักษาพยาบาลที่ทันสมัยขึ้น จำได้ว่าญาติของคนถูกปืนนั้นถามว่า “ต้องดึงขาเช่นนั้นนานเท่าไร” และไม่ค่อยยอมรับคำอธิบายว่า “อย่างน้อย ๓ เดือน” แท้จริงชาวบ้าน(รวมข้าราชการคนหนึ่งซึ่งลูกสาวแขนหัก) ไม่เข้าใจการเข้าเฝือกให้กระดูกมีโอกาสติดกัน
จำได้ว่ามีชายคนหนึ่งมีฝีผิวหนังตรงข้อมือ น่าจะเจาะให้หนองออก แต่เขาไม่ยอม และไม่ยอมฉีดยารักษาด้วย(คิดว่าเป็นญาติกำนันเสียด้วย) สาเหตุคือพวกเขากลัวว่าเป็น “ฝีมะลำมะลอก” (คงหมายถึง Anthrax) เขาคิดว่าถ้าฉีดยาแล้วจะตายแน่ คิดเช่นนั้นเพราะในอดีตอาจมีคนถูกฉีดยารักษากับหมอบ้านนอกแล้วแพ้ยาเพนนิซิลินตาย แท้จริงยานี้ตรงกับโรคเพียงต้องพร้อมจัดการถ้าแพ้ยา สุดท้ายยายคนแก่ๆ ชักชวนให้คนนั้นยอมรับการรักษา ซึ่งฝีนั้นเป็นฝีธรรมดา
ทางคมนาคมลำบากมาก จำเป็นต้องผ่าตัดใน ๕ ปีแรกนั้น ไม่มีห้องผ่าตัดเฉพาะ จึงจำเป็นทำในห้องฉีดยา เพราะจะส่งคนไข้ต่อไปไม่ได้ เช่น ภรรยาข้าราชการตั้งครรภ์นอกมดลูก
โลหิตออกในช่องท้อง เด็กหญิงใกล้ตลาดอายุประมาณ ๑๒ ปี เป็นไทฟอยด์ และรักษากับคนซึ่งไม่ใช่แพทย์จริง ๒ อาทิตย์กว่า ญาติพามาหาเพราะโลหิตออกลำไส้ วันต่อมาแผลลำไส้ทะลุจึงต้องผ่า ฤดูฝนมีชาวบ้านนำหญิงป่วยมา ซึ่งอาการแสดงว่าต้องผ่ารังไข่อย่างด่วน โดยเอาคนป่วยห่อแหเป็นเปลหามมา มีคนเอาทารกมา(คิดว่ามาจากห้วยร่วม) ทารกหนัก ๒.๑ กิโลกรัม พวกเขาใส่กระบุงหาบมาเพราะมันไม่มีรูทวารหนัก
ด้วยความยินดีจากอังกฤษ
Ursula Loewenthal
Monday, September 08,2008 5:27:49 P.M.
..........................................................................................................................................................................
หมายเหตุและเชิงอรรถบทความ :
บทความนี้ แปลจากข้อมูลชั้นต้นเขียนบันทึกให้โดยหมอเออร์ซูลา ลีเวนธัล หรือในชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่า หมออรุณ ซึ่งได้มอบให้นางถนิม อ่วมวงษ์ หรือ หมอหนิม คนเก่าแก่ของชาวหนองบัวซึ่งเป็นพยาบาลพดุงครรภ์ประจำสถานีอนามัยอำเภอหนองบัวในยุคแรกๆและร่วมสมัยกับโรงพยาบาลคริสเตียนหนองบัวซึ่งหมออรุณได้มาเป็นแพทย์และหมอสอนศาสนา ท่านพระมหาแล อาสโย(ขำสุข) ได้มีโอกาสเจอกับหมอหนิมและได้สนทนากัน ท่านได้มอบบันทึกดังกล่าวนี้ให้แก่ท่านพระอาจารย์มหาแลมาเผยแพร่ต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งท่านพระอาจารย์มหาแลได้บันทึกหมายเหตุไว้ด้วยดังนี้....
"...หมายเหตุ บทความชิ้นได้มาจากวันไปเยี่ยมและสัมภาษณ์ โยมป้าหนิม : หมอถนิม อ่วมวงษ์ (กุลสวัสดิ์) วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๔ ที่บ้านของท่านหลังว่าที่การอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ที่มาของเอกสาร หมออรุณ(Ursula Loewenthal) PUBLIC HEALTH OFFICE IN NONG BUA : HISTORY OF MY LIFE AND SERVICE Tue. 19 Aug. 2008 21:33:45+0100 สมหมาย ฉัตรทอง : แปลเรียบเรียงเรื่อง "
" ตอนนี้คุณหมออรุณท่านยังมีชีวิตอยู่ อายุ ๘๓ ปี ป้าหนิมบอกอาตมาว่าเมื่อปีที่แล้วคุณหมออรุณท่านมาเยี่ยมชาวหนองบัวด้วย เมื่อคริสต์มาส(๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๓)ที่ผ่านมาป้าหนิมบอกว่ายังโทรศัพท์คุยกับหมออรุณอยู่เลย "
เจริญพรอาจารย์วิรัตน์
ความตั้งใจเดิมของอาตมา เพียงแค่ไปเยี่ยมป้าหมอหนิม และต้องการพูดคุยหาข้อมูลชุมชนหนองบัว ไม่นึกจริงๆว่าจะได้ข้อมูลเรื่องราวของคุณป้าหมออรุณมาด้วย อันนี้ดีใจมากตื่นเต้น อ่านข้อมูลของคุณป้าหมออรุณแล้วได้เห็นหนองบัวชัดเจนขึ้นอีก โดยเฉพาะความกันดาร ความลำบาก ความเป็นบ้านนอกของหนองบัวเรา เห็นร่องรอยคนเก่าๆทั้งชาวบ้านและผู้คนในท้องถิ่นที่ทำประโยชน์ให้ชุมชนไว้อย่างมากมาย
ก่อนไปหนองบัวคราวนี้ นึกคิดไว้ในใจ ๔ เรื่อง : ๔ ขอ คือ
๑.ขอความรู้ : จากชาวบ้านหนองบัว
๒.ขอความเล่า : ให้ชาวบ้านบอกเล่าเรื่องราวแต่หนหลังของชุมชน
๓.ขอเป็นนักข่าวสมัครเล่น : รายงานข่าวสารชาวบ้าน
๔.ขอเป็นนักเขียนจำเป็น : บันทึกข้อมูลชุมชน
ปรากฏว่าใน ๔ ขอนั้น ๒ ขอแรกชาวบ้านทำได้ดีมากๆ ส่วน ๒ ขอหลังนี่ความรู้ความสามารถของอาตมามีไม่ถึง ยากจัง คงต้องหาตัวช่วย ผู้ช่วย ผู้มีจิตอาสาทั้งหลายมาช่วยกันบันทึกเรื่องราวข้อมูลชุมชนกันเยอะๆน่าจะดี
กราบนมัสการพระคุณเจ้าพระอาจารย์มหาแลครับ
ข้อมูลชุดนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและน่าประทับใจมากอย่างยิ่งในหลายแง่เลยนะครับ ทั้งวิธีไปหาและรวบรวมได้อย่างไม่มีกะเกณฑ์หรือรูปแบบที่เจาะจงล่วงหน้า ซึ่งมีความเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับวัฒนธรรมการไปมาหาสู่กันของผู้คน โดยเฉพาะสังคมไทยในชนบท
ในมุมมองของผมนั้น หากไม่ใช่พระคุณเจ้าแล้วก็เชื่อว่ายากที่จะได้เรื่องราวที่มีคุณค่าต่อสังคมมากอย่างนี้มาเผยแพร่ต่ออีกในสื่ออย่างเวทีคนหนองบัวนี้ ประการแรกเลยก็คือ เนื่องจากเป็นเรื่องราวของบุคคลและของสังคม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม แต่หากทำให้เป็นงานตามหน้าที่หรืองานของหน่วยงาน ก็เชื่อว่ายากที่จะมีหน่วยงานใดเห็นความสำคัญและเห็นความเกี่ยวข้องโดยตรง และประการที่สอง ดูรูปการณ์และการมีความหมายต่อบุคคลทั้งป้าหมออรุณและป้าหมอหนิมแล้ว การที่ท่านจะถ่ายทอดและมอบให้แก่ใครนั้น ย่อมขึ้นกับการพิจารณาเป็นส่วนตัวของท่านอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คงไม่มีใครที่จะอยู่ในสถานะอันเป็นที่เคารพนับถือ ได้ความไว้วางใจ และเชื่อมั่นว่าจะเป็นผู้นำไปทำให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จากป้าหมอหนิมได้อย่างพระคุณเจ้า
เรื่องราวในบันทึกนั้น แม้นจะสั้นแต่ก็ครอบคลุมห้วงเวลาของพัฒนาการทางสังคมกว่า ๒ ทศวรรษ อีกทั้งเป็นบันทึกที่เพิ่งจะได้บันทึกเมื่อ ๓ ปีที่ผ่านมาของหมออรุณซึ่งท่านอายุได้ ๘๓ ปีแล้ว ผมไม่ทราบว่าการที่ได้ชื่อว่า History of My Life and Service นั้นเป็นชื่อบันทึกที่ท่านตั้งขึ้นเองหรือไม่ หากใช่ ก็สื่อสะท้อนถึงการบอกกล่าวถึงความผูกพันด้วยหัวใจของชีวิตคนคนหนึ่งที่ได้ดำเนินชีวิตต่างที่ต่างถิ่นของตนเอง
เรื่องราวของท่านคงทำให้คนหนองบัวและรอบข้าง รวมทั้งในที่อื่นๆที่ท่านได้เคยทำงานและใช้ชีวิต ได้รำลึกถึงกัน โดยเฉพาะในวัย ๘๓ ปีของท่านนั้น หากถือเอาตามคติคนไทย ก็ต้องเรียกว่าเป็นวัยอันงดงามและหมดสิ้นความสงสัยใดๆแล้วในสัจธรรมแห่งชีวิต เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังมีลมหายใจที่แม้นได้ปฏิบัติสันถวะทั้งโดยตรงโดยอ้อมอย่างไรก็มีแต่จะได้ความชื่นใจและเป็นความดีงามแก่ตนเอง เป็นความรู้และการเรียนรู้ทางสังคม ที่เจือด้วยความดีงาม ความงอกงาม ความกตัญญูกตเวทิตา และการบ่มสร้างคุณธรรมความเป็นผู้ให้แก่ส่วนรวม ทั้งของชุมชนหนองบัวและสังคมทั่วไป
ขอแสดงความชื่นชมและขอกราบอนุโมทนากับพระคุณเจ้าด้วยครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์ ขอให้อาจารย์และครอบครัวมีความสุขค่ะ
พี่คิมอ่านบันทึกนี้ ตอนแรกก็ทึ่งในการสืบเสาะค่ะ จบลงด้วยขนลุกค่ะ เพราะคุณหมอท่านยังอยู่ให้ข้อมูลและยังรักชาวหนองบ้วอยู่
เกาะลอยยังมีอยู่หรือเปล่าค่ะ อยู่ทางทิศใดของหนองบัวคะ
และได้ ๔ ขอจากพระคุณเจ้าไปปฏิบัติอีกด้วย
ขอขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีปีใหม่ครับพี่คิมครับ
นำภาพฟ้าสวย เช้านี้ที่บ้าน ✿อุ้มบุญ✿ มาคารวะท่านด้วยความระลึกถึงค่ะ
รักแม่หมอมากค่ะ...เกรซเองค่ะ
ผมเป็นหลานของลุงจำลอง อ่วมวงษ์ บ้านเกิดที่ นครชุม เมือง กำแพงเพชร ลุงลอง เป็นบุตรของ นายเปล่ง อ่วมวงษ์ ครับ ป้าหนิม ลุงลอง มาพักที่บ้านผม เมื่อมาเยี่ยม คุณตาที่ กำแพงเพชร แต่ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่ประสีประสาอันใด..และพี่ชำนาญ ยาใจ ก็เป็นญาติกัน (ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน) แต่อ่านเรื่องราวของชุมชนหนองบัวแล้ว ประทับใจครับ..ผู้คนในชุมชน..คนเล่า..มีอรรถรสน่าติดตาม