ลักษณะอาญาและบทลงโทษในกฎหมายอิสลาม
กฎหมายอิสลามลักษณะอาญา หมายถึง กฎหมายที่กำหนดลักษณะของการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง และกำหนดบทลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดนั้นๆเอาไว้ตามตัวบทของอัล-กุรฺอานและอัส-สุนนะฮฺ เรียกกฎหมายลักษณะอาญาในภาษาอาหรับว่า อัล-ฟิกฮุลญินาอียฺ
(اَلْفِقْهُ الْجِنَاﺋﻲ) ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงลักษณะอาญาและบทลงโทษในคดีดังต่อไปนี้
1. การฆาตกรรม (ประทุษร้ายต่อร่างกายและชีวิต)
2. การโจรกรรม (การลักขโมย)
3. การผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)
4. การรักร่วมเพศ (ลิวาฏ-เลสเบี้ยน)
5. การดื่มสุรา-การพนัน
6. ข้อห้ามเกี่ยวกับการใส่ร้าย
7. การละทิ้งการละหมาด
1. การฆาตกรรม (قَتْلُ النَّفْسِ)
การฆาตกรรม คือ การประทุษร้ายต่อร่างกายหรืออวัยวะในร่างกายของบุคคลอันเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย หรือหมายถึงการฆ่าชีวิตมนุษย์นั่นเอง ในหลักศาสนาอิสลามถือว่าการฆาตกรรมเป็นสิ่งต้องห้าม และมีโทษร้ายแรงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทั้งนี้ เพราะการฆาตกรรมเป็นการละเมิดต่อชีวิตที่เป็นสิทธิของอัลลอฮฺ และเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยของหมู่ชนตลอดจนวิถีชีวิตในสังคมมนุษย์ ดังปรากฏในอัล-กุรฺอานว่า
wur (#qè=çGø)s? [øÿ¨Z9$# ÓÉL©9$# tP§ym ª!$# wÎ) Èd,ysø9$$Î/ 4 ……. ÇÊÎÊÈ
ความว่า “และพวกสูเจ้าอย่าได้สังหารชีวิตซึ่งอัลลอฮฺทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น”
(สูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะฮฺที่ 151)
การฆาตกรรมตามกฎหมายอิสลามมี 3 ชนิดคือ
1. การฆาตกรรมโดยเจตนา หมายถึง การที่บุคคลมีเจตนาสังหารบุคคลด้วยสิ่งที่ทำให้เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่ เช่น ฟันด้วยคมดาบแล้วผู้นั้นเสียชีวิตเนื่องจากการฟันนั้น หรือยิงปืนใส่ผู้นั้น กระสุนโดนผู้นั้นจนถึงแก่ความตาย หรือทุบด้วยค้อนเหล็ก หรือเผาไฟ หรือทับด้วยรถยนต์ หรือฝังทั้งเป็น หรือรัดคอจนขาดใจตาย หรือวางยาพิษ หรือกระทำคุณไสย เป็นต้น
2. การฆาตกรรมโดยกึ่งเจตนา หมายถึง การที่บุคคลมีเจตนาประทุษร้ายโดยมิชอบต่อบุคคลด้วยการใช้สิ่งที่ไม่ทำให้เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่ แต่บุคคลถึงแก่ความตายด้วยการกระทำดังกล่าวนั้น เช่น การใช้ไม้ขนาดเล็กตีเบาๆแล้วผู้ถูกตีก็ถึงแก่ความตายเนื่องจากการตีนั้น หรือการจับโยนลงน้ำที่ทำให้ผู้นั้นจมน้ำแต่ผู้นั้นว่ายน้ำเป็น ทว่าเกิดลมพายุหรือคลื่น เป็นเหตุให้ผู้นั้นจมน้ำตาย เป็นต้น ส่วนกรณีที่ผู้นั้นว่ายน้ำไม่เป็นถือว่าเป็นการฆาตกรรมโดยเจตนา
3. การฆาตกรรมโดยเกิดความผิดพลาด หมายถึง การที่บุคคลได้กระทำสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้เช่น การยิงสัตว์ที่ถูกล่าแล้วพลาดไปโดนบุคคลเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายหรือมีความผิดพลาดโดยไม่มีเจตนาเกิดขึ้น เช่น เท้าสะดุดล้มไปทับบุคคลเป็นเหตุให้บุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตาย เป็นต้น
ข้อชี้ขาดในการฆาตกรรมแต่ละชนิด มีดังนี้
1) การฆาตกรรมโดยเจตนา มีข้อชี้ขาด 2 ประการ ดังนี้
ก. ข้อชี้ขาดทางศาสนาที่เกี่ยวกับโลกหน้า คือ เป็นสิ่งต้องห้าม มีบาปร้ายแรงที่รองจากการ ปฏิเสธ (كُفْرٌ) และต้องได้รับโทษทัณฑ์ในนรกอเวจี หากฆาตกรไม่ทำการสำนึกผิด (تَوْبَةٌ) ดังปรากฏในอัล-กุรฺอาน ว่า
`tBur ö@çFø)t $YYÏB÷sãB #YÏdJyètGB ¼çnät!#tyfsù ÞO¨Yygy_ #V$Î#»yz $pkÏù
|=ÅÒxîur ª!$# Ïmøn=tã ¼çmuZyès9ur £tãr&ur ¼çms9 $¹/#xtã $VJÏàtã ÇÒÌÈ
ความว่า “และผู้ใดสังหารผู้ศรัทธาโดยเจตนา การตอบแทนของผู้นั้นคือนรกอเวจี โดยเขาอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮฺทรงกริ้วผู้นั้น และทรงสาปแช่งเขา อีกทั้งทรงเตรียมการลงโทษอันยิ่งใหญ่แก่ผู้นั้นแล้ว”
(สูเราะฮฺอัน-นิสาอฺ อายะฮฺที่ 93)
ข. ข้อตัดสินอันเป็นคดีความในโลกนี้คือ การประหารชีวิต (اَلْقِصَاصُ) หรือกรณีพี่น้องหรือทายาทของผู้ถูกฆาตกรรมให้อภัย ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนสถานหนัก (اَلدِّيَةُ) ดังปรากฎในอัล-กุรฺอานว่า
$pkr'¯»t tûïÏ%©!$# (#qãZtB#uä |=ÏGä. ãNä3øn=tæ ÞÉ$|ÁÉ)ø9$# Îû n=÷Fs)ø9$# ( çtø:$# Ìhçtø:$$Î/ ßö6yèø9$#ur Ïö7yèø9$$Î/ 4Ós\RW{$#ur 4Ós\RW{$$Î/ 4 ô`yJsù uÅ"ãã ¼ã&s! ô`ÏB ÏmÅzr& ÖäóÓx« 7í$t6Ïo?$$sù Å$rã÷èyJø9$$Î/ íä!#yr&ur Ïmøs9Î) 9`»|¡ômÎ*Î/ 3 y7Ï9ºs ×#ÏÿørB `ÏiB öNä3În/§ ×pyJômuur 3 Ç`yJsù 3ytGôã$# y÷èt/ y7Ï9ºs ¼ã&s#sù ë>#xtã ÒOÏ9r& ÇÊÐÑÈ
ความว่า “โอ้บรรดาศรัทธาชน การประหารชีวิตให้ตายตกตามกันไปในหมู่ผู้ถูกฆาตกรรมได้ถูกบัญญัติเหนือพวกสูเจ้าแล้ว เสรีชนต่อเสรีชน ทาสต่อทาส สตรีต่อสตรี ดังนั้นผู้ใดถูกอภัยให้แก่เขา ซึ่งสิ่งหนึ่งจากพี่น้องของผู้ถูกฆาตกรรม ก็ให้ปฏิบัติตามความเหมาะสมและจ่ายค่าสินไหมทดแทนแต่โดยดี ดังกล่าวนั้นคือการผ่อนปรนจากพระผู้อภิบาลของพวกสูเจ้าและคือความเมตตา ดังนั้นผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น ผู้นั้นย่อมได้รับการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดยิ่ง”
(สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 178)
การประหารชีวิต (اَلْقِصَاصُ) คือข้อชี้ขาดตามหลักมูลฐานอันเป็นผลมาจากการฆาตกรรมโดยเจตนา ซึ่งถือเป็นสิทธิของบรรดาทายาทของผู้ถูกฆาตกรรม หากพวกเขาประสงค์ให้มีการประหารชีวิตฆาตกร ก็จำเป็นที่ศาล (اَلْقَاضِيْ) ต้องช่วยเหลือและอำนวยให้พวกเขาได้รับสิทธินั้น ดังปรากฎในอัล-กุรฺอานว่า
`tBur @ÏFè% $YBqè=ôàtB ôs)sù $uZù=yèy_ ¾ÏmÍhÏ9uqÏ9 $YZ»sÜù=ß xsù Ìó¡ç Îpû È@÷Fs)ø9$# (
¼çm¯RÎ) tb%x. #YqÝÁZtB ÇÌÌÈ
ความว่า “และผู้ใดถูกฆ่าโดยไม่เป็นธรรม ดังนั้นเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้อำนาจแก่ทายาทหรือผู้ปกครองของเขา (ที่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด) ฉะนั้นเขาจงอย่าล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้ที่ถูกช่วยเหลือ (ให้ได้รับสิทธิอยู่แล้ว)”
(สูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ อายะฮฺที่ 33)
ดังนั้น ถ้าหากทายาทของผู้ถูกฆาตกรรมมีความประสงค์ในการให้อภัย พวกเขาก็ย่อมกระทำได้โดยรับค่าสินไหมทดแทนจากทรัพย์ของฆาตกร ดังปรากฏในอัล-หะดีษที่รายงานโดย อัมรฺ อิบนุ ชุอัยฺบ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขาว่า แท้จริงนบี กล่าวว่า :
( مَنْ قَََتَلَ مُتَعَمِّدًادُفِعَ إِلىَ أَوْلِيَاءِ الْمَقْتُوْلِ ، فَإِنْ شَاﺅُوْاقَتَلُوْهُ ، وَإِنْ شَاﺅُوْاأَخَذُواالدِّيَةَ
وَهِىَ ثَلاَثُوْنَ حِقَّةً ، وثَلاَثُونَ جَذَعَةً وَأَرْبَعُونَ خَلِفَة الحديث )
ความว่า “ผู้ใดฆ่าโดยเจตนา ผู้นั้นย่อมถูกผลักไปยังบรรดาทายาทของผู้ถูกฆ่า ดังนั้นหากบรรดาทายาทประสงค์ให้ประหารก็ให้ประหารชีวิตผู้นั้น และหากพวกเขาประสงค์ค่าสินไหมทดแทน พวกเขาก็เอาค่าสินไหมทดแทนนั้น คือ อูฐอายุ 3 ปีบริบูรณ์ 30 ตัว , อูฐอายุ 4 ปีบริบูรณ์ 30 ตัว และอูฐที่ตั้งท้อง 40 ตัว...”
(รายงานโดย อัต-ติรมิซียฺ )
ในกรณีที่ไม่มีอูฐจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนก็ให้ตีราคาของอูฐ ดังปรากฏในรายงานของท่าน อัมรฺ อิบนุ ชุอัยฺบ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขาว่า : การตีราคาค่าสินไหมทดแทน (اَلدِّيَةُ) ในสมัยของนบีนั้น คือ 800 ดีนารฺ หรือ 8,000 ดิรฮัม ปรากฏเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา จนอุมัร ได้เป็นเคาะลีฟะฮฺ อุมัรกล่าวว่า : อูฐนั้นมีราคาแพง จึงตีราคาว่า ผู้มีทองคำนั้นคือ 1,000 ดีนารฺ ผู้มีเงินนั้นคือ 12,000 ดิรฮัม ผู้มีวัวคือ วัว 200 ตัว ผู้มีแกะนั้นคือ แกะ 2,000 ตัว ผู้มีชุดแต่งกายคือ 200 ชุด”
(รายงานโดย อบูดาวูดและอัน-นะสาอียฺ)
และในกรณีที่ฆาตกรมีหลายคน คือ เป็นหมู่คณะ ให้ตัดสินประหารชีวิตฆาตกรทั้งหมด ดังปรากฏ :
1. เคาะลีฟะฮฺอุมัร ได้ตัดสินประหารชีวิตชาย 7 คน หรือ 5 คน ที่ร่วมกันสังหารชายผู้หนึ่ง
2. เคาะลีฟะฮฺอะลี ได้ตัดสินประหารชีวิตชาย 3 คน ที่ร่วมกันสังหารชายผู้หนึ่ง เป็นต้น
ทั้งนี้บรรดาอิหม่ามทั้ง 4 ท่านได้เห็นพ้องตรงกันว่า จำเป็นต้องประหารชีวิตกลุ่มคณะบุคคลที่ร่วมกันสังหารบุคคลเพียงคนเดียว เพื่อเป็นการปิดหนทางในการอาศัยช่องว่างทางกฏหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีการตัดสินเช่นนี้
อนึ่ง ในการตัดสินประหารชีวิตฆาตกรนั้น จำต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. ฆาตกรต้องบรรลุศาสนภาวะ มีสติสัมปชัญญะ
2. ฆาตกรต้องมีสถานภาพด้อยกว่าผู้ถูกฆาตกรรม ดังปรากฎในอัล-หะดิษว่า
( لاَيُقْتَلُ حُرٌّبِعَبْدٍ )
ความว่า “เสรีชนจะไม่ถูกประหารชีวิตด้วยเหตุการสังหารทาส”
(รายงานโดย อบูดาวูด )
3. ฆาตกรจะต้องไม่ใช่บิดา ปู่ หรือผู้สืบสายเลือดสูงขึ้นไป ดังมีรายงานจากอุมัร ว่า : ฉันเคยได้ยิน
นบีกล่าวว่า
( لاَيُقَادُالْوَالِدُبِالْوَلَدِ )
ความว่า “บิดาจะไม่ถูกประหารชีวิตเนื่องด้วยการสังหารบุตร”
(รายงานโดย อัต-ติรมิซียฺ )
4. ฆาตกรจะต้องเป็นผู้ที่สังหารผู้ตายโดยเจตนา หรือเป็นผู้จ้างวาน หรือเป็นผู้ร่วมมือด้วย มิใช่ถูกบังคับ พลาดพลั้งหรือหลงลืม
2) การฆาตกรรมกึ่งเจตนา มีข้อชี้ขาดสองสถานะเช่นกัน กล่าวคือ ทางศาสนาที่เกี่ยวกับโลกหน้า ถือเป็นสิ่งต้องห้าม มีบาปและต้องได้รับโทษทัณฑ์ในโลกหน้า เพราะฆาตกรมีเจตนา แต่โทษทัณฑ์ต่ำกว่าโทษทัณฑ์ของการฆาตกรรมโดยเจตนา
ส่วนข้อชี้ขาดตามลักษณะอาญาในโลกนี้ คือการจ่ายค่าสินไหมทดแทนขั้นหนักที่บรรดาทายาทฝ่ายบิดาของฆาตกรจำต้องร่วมชดใช้โดยผ่อนชำระในระยะเวลา 3 ปี ดังมีรายงานจากอิบนุ อุมัร ว่า นบีกล่าวว่า
شِبْهُ الْعَمْدِ قَتِيْلُ السَّوْطِ وَالْعَصٰا ، فِيْهِ مِائَةٌمِنَ اْلإِ بِلِ ، مِنْهَا أَرْبَعُوْنَ فِى بُطُوْنِهَاأَوْلاَدُهَا
ความว่า “กึ่งเจตนาคือ ผู้ที่ถูกสังหารด้วยแส้และไม้เท้า ในการสังหารนี้คืออูฐ 100 ตัว จาก 100 ตัวนั้นคืออูฐ 40 ตัว ที่ในท้องของมันมีลูก”
(รายงานโดย อัน-นะสาอียฺ)
การฆาตกรรมชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องประหารชีวิต ถึงแม้ว่าญาติของผู้ตายจะร้องขอก็ตาม แต่ให้บรรดาทายาทของฆาตกร (ที่มิใช่บรรพบุรุษหรือบุตรหลาน) จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนที่ระบุมาในอัล-หะดีษ
3) การฆาตกรรมโดยผิดพลาด มีข้อชี้ขาดทางศาสนาที่เกี่ยวกับโลกหน้าคือ การอภัยให้ ไม่มีบาปและไม่มีการลงทัณฑ์ เพราะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยผิดพลาดไม่มีเจตนา ดังปรากฏในอัล-หะดีษว่า
إِنَّ اﷲَتَجَاوَزَعَنْ أُمَّتِىْ الْخَطَأَ وَالنِّسْيَانَ وَمَااسْتُكْرِهُواعَلَيْهِ
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงอภัยแก่ประชาชาติของฉัน ซึ่งความผิดพลาด การหลงลืม และสิ่งที่พวกเขาถูกบังคับให้กระทำสิ่งนั้น”
(รายงานโดย อิบนุมาญะฮฺ )
ส่วนข้อชี้ขาดตามลักษณะอาญาในโลกนี้ คือ จำเป็นที่บรรดาทายาทของฆาตกรต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยผ่อนชำระเป็นเวลา 3 ปี และเป็นการจ่ายค่าสินไหมขั้นเบาคือ แบ่งเป็นประเภทอูฐ 5 ชนิด ได้แก่ อูฐ 3 ปี จำนวน 20 ตัว อูฐ 4 ปี จำนวน 20 ตัว อายุย่างเข้าปีที่ 3 จำนวน 20 ตัว อายุย่างเข้าปีที่ 2 จำนวน 20 ตัว และอูฐเพศผู้ย่างเข้าปีที่ 3 จำนวน 20 ตัว
(รายงานโดย อิบนุ มัสอูด เป็นหะดีษเมาวฺกูฟ)
และมีรายงานจาก อิบนุ มัสอูด เช่นกันว่า นบีพิพากษาให้ผู้เป็นฆาตกรโดยพลาดพลั้งจ่ายเงินจำนวน 1,000 ดีนารฺ หรือ 10,000 ดิรฮัมก็ได้
ไม่มีความเห็น