คำ 'journal' มาจากภาษาฝรั่งเศสเก่า เดิมแปลว่า กลางวัน รายวัน = บันทึกประจำวัน หนังสือพิมพ์รายวัน ทำให้คำนี้คล้ายกับคำว่า 'daily' = (หนังสือพิมพ์)รายวัน
ส่วนคำ 'journalist' ให้สังเกตว่า คำที่ลงท้ายด้วย '-ist' = นัก... เช่น physics = วิชาฟิสิกส์, physicist = นักฟิสิกส์ ฯลฯ
.
เรื่องของเรื่อง คือ คุณคริส เครเมอร์ (อาจเป็นชื่อสมมติ) อายุ 62 ปี เคยเข้าไปทำข่าวสงครามอย่างใกล้ชิดเมื่อ 30 ปีก่อน... ต่อมาเจ้านายขอให้ไปทำข่าวที่อิหร่านในเดือนเมษายน 1980 หรือ พ.ศ. 2523
วงการข่าวส่วนใหญ่นิยมใช้ชื่อสมมติ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ยกเว้นเป็นบุคคลสาธารณะ เช่น นักการเมือง ผู้บริหาร ฯลฯ นิยมใช้ชื่อจริง เพื่อเน้นการตรวจสอบ ป้องกันทุจริต หรือผู้ให้ข่าวยินดีให้ใช้ชื่อจริง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ (ตัวอย่างเหตุการณ์)
.
คราวนี้คุณเครเมอร์ได้อยู่ในเหตุการณ์วิกฤติเลย คือ ถูกผู้ก่อการร้าย (มือปืน) จับเป็นตัวประกันพร้อมกับคนอเมริกันอีก 25 คน
หลังถูกจับ 2 วันก็มีอาการเจ็บหน้าอกคล้ายกับจะเป็นโรคหัวใจ ตามมาด้วยโรคกลัวที่แคบ (claustrophobia) ทำให้ตกใจง่าย และกลัวจนเข้าไปในที่แคบๆ เช่น ลิฟต์ โรงหนัง ฯลฯ ไม่ได้
.
ผลการสำรวจทำในปี 2003 หรือ พ.ศ. 2546 พบว่า ผู้สื่อข่าวสงครามเป็นโรค PTSD หรือโรคเครียดหลังวิกฤติมากกว่า 1/4
ทหารผ่านศึกเวียดนาม 30% มีปัญหาสติแตก (mental breakdown) สูงเป็น 4 เท่าของประชากรทั่วไป... คนทั่วไปมีโอกาสสติแตกประมาณ 7.5% หรือ 100 คนมีโอกาสสติแตกในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต 7-8 คน
.
อ.นพ.แอนโตนี ฟายสไตน์ จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา กล่าวว่า ชีวิตนักข่าวสงคราม (รวมวิกฤติทางการเมืองของพวกหัวรุนแรง แบ่งเป็นสีๆ ในไทยด้วย) มีโอกาสเครียดจากวิกฤติสูงกว่าคนทั่วไป ทั้งทางกายและทางใจ
การขอความช่วยเหลือจาก "มืออาชีพ" เช่น นักจิตวิทยา เภสัชกร-พยาบาล-หมอใกล้บ้าน ฯลฯ มีส่วนช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น หรือผ่อนหนักเป็นเบาได้
.
จุดอ่อนอย่างหนึ่งของนักข่าวสงคราม คือ เป็นสังคมแบบ "ผู้ชาย (macho)" ซึ่งความ "อด" กับความ "ทน" มากเกินไป ไม่ค่อยกล้าออกปากขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพ เพราะกลัวคนอื่นมองว่า เป็นพวกใจเสาะ เปราะบาง
การไม่ขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพเพิ่มเสี่ยงติดเหล้า หรือยาเสพติดมากขึ้น
.
นักข่าวที่มีประสบการณ์โดนสะเก็ดระเบิดในอิรักบางท่านเครียดจนไม่กล้าออกจากบ้าน ฝันร้ายบ่อยจนตกใจตื่นทุกคืน
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การเข้าไปใกล้ชิดเหตุการณ์ร้ายๆ หรือภาวะวิกฤติที่มีการใช้ความรุนแรง พบเห็นคนเจ็บ ทุกข์ทรมาน ตาย โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นเด็กๆ จะทำให้โอกาสสติแตกเพิ่มขึ้น
.
กลุ่มเสี่ยงสติแตกหลังภาวะวิกฤติมากๆ ได้แก่ นักข่าว, หมอ-พยาบาล-เสนารักษ์ (หมอทหาร)-ทีมกู้ชีพ (ช่วยชีวิต), นักดับเพลิง-ผจญเพลิง, ตำรวจ, ทหาร
อ.ดร.แมตติว เจ. ฟรีดแมนแนะนำว่า ทางออกที่ดี คือ ไม่ควรเสี่ยง "เก็บกด-อดทน (shut down)" มากจนเกินไป ขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพ
.
เทคโนโลยีการทำข่าวทุกวันนี้ทำให้มี "พยาน (witnesses) / ผู้เห็นเหตุการณ์" จำนวนมากทั่วโลก เนื่องจากมีการบันทึกวิดีโอ-ภาพนิ่ง-เสียงจริงๆ ถ่ายทอดผ่านสื่อต่างๆ ไปอย่างกว้างขวาง
สถิติจากหน่วยงานด้านทหารผ่านศึกสหรัฐฯ พบว่า พยานหรือผู้เห็นเหตุการณ์จะเสี่ยงโรคเครียดหลังวิกฤติ (PTSD) ไม่เท่ากัน... ผู้ชายเสี่ยง 8%, ผู้หญิงเสี่ยง 20%
.
ทางที่ดี คือ ไม่สนับสนุน ไม่หมกมุ่นกับกลุ่มหัวรุนแรง ('partisan' ศัพท์นี้มาจาก 'part' หรือการแบ่งเป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นกลุ่มหัวรุนแรง) หรือพวกบ้าอุดมการณ์ตกขอบ ประเภท "ข้าฯ ฟังแต่ข่าวสีเดียวกัน ไม่ฟังข่าวอื่นเลย"
นิยามของโรคเครียดหลังวิกฤติ (PTSD) ที่สำคัญได้แก่ เป็นหลังวิกฤติ นานอย่างน้อย 1 เดือน และมีลักษณะต่อไปนี้ และมักจะมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย
(1). re-living > ฝังใจ หวนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ (flashback) บ่อยๆ แบบหมกมุ่น (พายเรือในอ่าง หรือกบวนในกะลา - ไม่ออกนอกอ่างหรือกะลา)
บางคนฝันร้ายแบบสยดสยอง (nightmare) ซึ่งอาจตกใจตื่นมาเหงื่อแตก ใจสั่นได้, หรือเมื่อมีเหตุการณ์ชวนให้นึกถึงเรื่องเดิมแล้ว... สติทำท่าจะแตก เช่น ตกใจมาก ใจสั่นมาก เครียดสุดๆ ฯลฯ
(2). avoidance > หลีกหนี
ตัวอย่างเช่น เจอระเบิดมา เห็นเลือด-เนื้อ-สมองกระจาย เลยกลัวกลิ่นเนื้อไปหมด... สติแตก หรือเฉยเมย จนชีวิตขาดการมองโลกในด้านดี
(3). revved up > หวาดระแวงภัย กลัวอันตรายตลอดเวลา
ที่ มา
ไม่มีความเห็น