สังคมวุ่นวายเพราะเห็นผิด


      ถ้ามีคนมาถามว่า “ทำไมเมืองพุทธศาสนาจึงยังมีปัญหาและความเดือดร้อนวุ่นวาย?” ก็คงตอบได้ว่าเพราะ ผู้คนไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนา คือพุทธศาสนานั้นมีหลักการปฏิบัติที่ดี แต่ว่าผู้ที่นับถือกลับไม่ปฏิบัติตาม เขาไปปฏิบัติในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำสอนของพุทธศาสนา ดังนั้นจึงทำให้สังคมมีแต่ปัญหาและความเดือดร้อนอยู่เสมอ และถ้าจะถามว่าทำไมผู้ที่นับถือพุทธศาสนาจึงไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนา?ก็ตอบได้ว่าเพราะเขาไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อหลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่าเขามีความเห็นผิด ซึ่งตัวอย่างที่เป็นความเห็นผิดนั้นก็ได้แก่ความเห็นต่อไปนี้

       “รายกับจน” คือผู้คนมักจะเห็นว่ารวยดีกว่าจน ดังนั้นผู้คนจึงแก่งแย่ง คดโกงเพื่อให้ตนเองรวยซึ่งก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ซึ่งพุทธศาสนาจะสอนให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย งดเว้นสิ่งเกิน จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องรวย และไม่ต้องไปแก่งแย่งคดโกงคนอื่นให้เดือดร้อนสังคมก็จะสงบสุข

       “เอากับเสียสละ” คือผู้คนมักจะเห็นว่าการได้หรือเอานั้นดีกว่าการเสียวสละ ดังนั้นจึงหาคนที่จะเสียสละเพื่อคนอื่นหรือเพื่อสังคมโดยสุจริตได้ยาก การแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือคนที่ยากจนหรือเดือดร้อนมีน้อย จึงทำให้คนยากจนต้องประสบกับความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ต่อไป

       “สุขสบายกับลำบาก” คือผู้คนมักจะชอบความสุขสบายไม่ชอบความบาก ดังนั้นใครๆก็จะเอาแต่สิ่งที่จะทำให้ตนเองสุขสบาย จึงทำให้ผู้คนก็ตกงานกันมากขึ้น ส่วนงานที่ยากลำบากหรือการเรียนที่ยากจึงไม่ค่อยจะมีใครสนใจทำหรือเรียนได้จบ

       “ชนะกับแพ้” คือผู้คนมักจะชอบชัยชนะไม่ชอบพ่ายแพ้ ดังนั้นใครๆก็พยายามแต่จะทำให้ตนเองชนะ และทำให้คนอื่นต้องรับเอาความพ่ายแพ้ไป แล้วก็ทำให้เกิดความเกลียดชังกัน ไม่สามัคคีกัน และแตกแยกกันขึ้นมา สังคมจึงอ่อนแอไม่เข้มแข็ง

       “มีเกียรติกับด้อยเกียรติ” คือผู้คนมักจะอยากมีเกียรติ ไม่อยากเป็นคนต่ำต้อยด้อยเกียรติ จึงทำให้ต่างคนต่างพยายามแย่งชิงเอาเกียรติยศชื่อเสียงมาเป็นของตนเองให้มากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงว่าจะต้องทำให้ใครเดือดร้อนอย่างไร

       “สนุกกับสงบ” คือผู้คนมักจะชอบความสนุกสนาน ไม่ชอบความสงบ ดังนั้นจึงทำให้มีแต่สิ่งที่จะมาบำรุงบำเรอตา หู จมูก ลิ้น และกายให้มีความสนุกสนานเพลิดเพลินเต็มไปหมด ซึ่งก็ทำให้ต้องเสียเงิน เสียทรัพยากร เสียพลังงาน และเสียสภาพแวดล้อมไปอย่างมากมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่จะทำให้เกิดความสนุกสนานแม้เพียงเล็กน้อย และความสนุกนั้นก็ตามมาด้วยปัญหามากมายอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

       “โก้เก๋กับเชย” คือผู้คนมักจะชอบความโก้เก๋ทันสมัย ไม่ชอบความธรรมดาหรือเชย ดังนั้นจึงต้องเสียเงินซื้อหาสิ่งที่ทันสมัยมาประดับหรือมาใช้อยู่เสมอ ทั้งๆที่บางทีสิ่งโก้เก๋นั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแก่ตนเองอย่างแท้จริงเลย ซึ่งก็ทำให้ต้องเสียเงินทองไปซื้อหามาอย่างมากมาย แล้วความยากจนและหนี้สินก็ตามมา

       “เจริญกับเรียบง่าย” คือผู้คนมักชอบความเจริญ ไม่ชอบความเรียบง่าย ดังนั้นจึงทำให้เกิดสิ่งก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆขึ้นมาอย่างมากมาย และมันก็สร้างปัญหาสังคมกับทำลายสภาพแวดล้อมให้พินาศไปอย่างย่อยยับตามมา

       “อร่อยกับไม่อร่อย” คือผู้คนมักชอบอาหารที่เอร็ดอร่อย ไม่ชอบอาหารที่ไม่อร่อยที่แม้จะมีประโยชน์ก็ตาม จึงได้มีแต่อาหารที่เอร็ดอร่อยเกิดขึ้นมากมาย แล้วโรคอ้วนก็เกิดขึ้น รวมทั้งสุขภาพก็เสื่อถอยเพราะสารพิษในอาการที่เอร็ดอร่อยนั่นเอง นี่ยังไม่รวมถึงเงินที่ต้องหมดมากมายไปเพื่อซื้ออาหารที่เอร็ดอร่อย

      “ตามใจกับขัดใจ” คือผู้คนมักชอบตามใจตนเองหรือตามใจคนที่ตนรัก ไม่ชอบขัดใจ จึงทำให้พ่อแม่ตามใจลูกมากจนลูกเสียคนเพราะถูกตามใจมาจนเคยตัว แล้วลูกก็สร้างปัญหามากมายให้กับพ่อแม่และสังคมไปในที่สุด

       “ขี้เกียจกับขยัน” คือผู้คนสมัยนี้ไม่ทนต่อความลำบาก หรือเรียกว่าเป็นคนขี้เกียจ จึงทำให้เกิดมีเครื่องช่วยทำงานต่างๆขึ้นมามากมาย แล้วผู้คนก็ขี้เกียจกันมากขึ้น คนที่ขยันทำงาน หรือเด็กที่ขยันเรียนก็มีน้อยลง ชีวิตของคนเกียจคร้านจึงไม่เจริญ แล้วประเทศชาติก็พลอยไม่เจริญตามไปด้วย

       “เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับเชื่อเหตุผล” คือผู้คนยังมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันอยู่มาก จึงทำให้มีแต่การอ้อนวอนหรือบนบานสารกล่าวให้สิ่งที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิมาช่วย โดยไม่ยอมลงมือกระทำด้วยเหตุด้วยผลอย่างเต็มความสามารถ จึงทำให้ต้องยากจนและล้าหลังอยู่ต่อไป

       “หล่อสวยกับขี้เหร่” คือผู้คนสมัยนี้ชื่นชอบคนที่หล่อที่สวย และไม่ชอบคนที่ไม่หล่อไม่สวย ดังนั้นหนุ่มสาวสมัยนี้จึงนิยมแต่งหน้าทาปากและแต่งกายยั่วยวนเพศตรงข้ามเพื่อให้ผู้คนสนใจในตนเอง จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องตั้งท้องเมื่อยังไม่พร้อม หรือโรคเอดส์ หรือการหลอกลวงและข่มขืน เป็นต้นตามมาอย่างมากมาย

       “มีคู่กับเป็นโสด” คือผู้คนสมัยนี้ชื่นชอบการมีคู่เป็นอย่างมาก ใครไม่มีคู่จะรู้สึกว้าเหว่ ภาพยนตร์และโทรทัศน์ก็เสนอเน้นแต่เรื่องการมีคู่เกือบทั้งสิ้น จึงทำให้วัยรุ่นมีจิตใจที่เร่าร้อนอยู่แต่เรื่องการมองหาคู่อยู่เกือบจะทุกลมหายใจ แล้วก็ตามมาซึ่งปัญหาชีวิตต่างๆมากมายที่หนังละครไม่ยอมนำมาเสนอให้วัยรุ่นฉลาดขึ้น

       “ยึดถือกับปล่อยวาง” คือผู้คนมักจะมีแต่ความยึดถือในสิ่งต่างๆ ไม่มีใครอยากจะปล่อยวาง จึงมีแต่คนที่เป็นโรคประสาทอ่อนๆกันเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นต้น

       ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของความเห็นผิดของผู้คนในสังคมที่ส่งผลทำให้ผู้คนกระทำในสิ่งที่ผิดและมีผลเป็นปัญหาและความเดือดร้อนวุ่นอยู่ในสังคมปัจจุบัน แต่ก็แทบไม่มีใครรู้ว่าตนเองมีความเห็นผิด จึงทำให้สังคมยังคงมีปัญหาและความเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรสนใจศึกษาเพื่อทำความเห็นที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความสุขสงบที่แท้จริงแก่ทั้งตนเองและสังคมกันต่อไป.

*********************

 

หมายเลขบันทึก: 410942เขียนเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2010 20:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 16:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท