หลังจากไปลงพื้นที่แม่สอด-อุ้มผาง เมื่อวันที่ ๓ - ๕ ก.ย. ๕๓ คณะอนุกรรมการด้านสิทธิและสถานะบุคคล ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็นัดประชุมรับฟังข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ ต.ค.๕๓ ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ
ผมโดนใช้ ให้เป็นประธานการประชุมรับฟังข้อมูล และการหารือสาธารณะ โดยเขามีประเด็นหารือ ๙ ข้อตามแนบ ทำให้ผมได้เรียนรู้มากมาย ทำให้ผมได้เข้าใจว่าบริเวณชายแดน มีปัญหาบุคคล ๓ ประเภท (๑) คนหนีสถานการณ์สู้รบ เข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว (๒) คนที่เข่ามาทำงาน อยู่แบบถาวรหรือกึ่งถาวร (๓) คนที่ข้ามเขตแดนมาทำงานหรือค้าขาย เช้ามาเย็นกลับ หรือค้างเพียงคืนสองคืน
จริงๆ แล้วยังมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในลักษณะเข้าไปจัดการคน ๓ กลุ่มข้างบน ซึ่งก็พอจะแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทเหมือนกัน คือ (๑) เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ซึ่งก็มีทั้งคนที่ตั้งใจทำงานด้วยความรับผิดชอบและมีมนุษยธรรม และคนที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว (๒) เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติ คือ UNHCR ทำงานเน้นที่บุคคลที่หนีภัยจากการสู้รบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ก็มีทั้งมุมมองและพฤติกรรมที่บริสุทธิ์และที่มุ่งผลงานของตน (๓) ขบวนการหาผลประโยชน์จากคนไร้รัฐ คนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีความซับซ้อนมาก และมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนมาก
ข้อมูลแค่นี้ ก็เห็นโจทย์วิจัยทางมานุษยวิทยาชัดเจน ใช้ทำปริญญาเอกได้
ความเป็นชายแดน ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไม่แน่นอน ความซับซ้อน ความไม่ชัดเจน ความไม่ซื่อสัตย์ ความไร้มนุษยธรรม ความเห็นแก่ตัว ความไร้ประสิทธิภาพของราชการ ฯลฯ เหล่านี้คือต้นเหตุของปัญหามนุษยธรรมหรือสิทธิมนุษยชน นี่ยังไม่นับปัจจัยของทางฝั่งพม่านะครับ
ผมมองแบบคนไร้เดียงสา ว่าสำหรับคน ๒ กลุ่มหลัง คือแรงงานข้ามชาติ กับคนข้ามแดนนั้น หากจัดระบบลงทะเบียนแบบวันต่อวันและเก็บค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน ไม่ให้รัฐขาดทุน ทำให้มันโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ปัญหาที่พูดกัน กันก็จะป้องกันได้หมด ไอ้ที่ประชุมกันเสียเวลามากมายนี้เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ การป้องกันตามที่ผมเสนอแบบซื่อบื้อนี้ ต้องทำร่วมกับการปราบปราม จับและปรับหรือขังคนผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด
ผมเดาว่า เขาไม่จัดระบบตามแนวที่ผมกล่าว เพราะเขาต้องการเก็บแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายเอาไว้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ มีคนบอกผมว่าผลประโยชน์ก้อนนี้เป็นเงินปีละเป็นหมื่นล้าน
วิจารณ์ พานิช
๒๘ ต.ค. ๕๓