จากการที่ได้ไปเรียนรู้การจัด workshop เรื่อง KM ให้กับหน่วยงานนำร่องของกรมทางหลวงในวันที่ 24-25 ก.ค.49 ที่โรงแรมกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่
ซึ่งจากเดิมเคยคิดว่าตัวเองน่าจะพอมีความรู้เกี่ยวกับ KM อยู่บ้างในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหรือโมเดลต่างๆ เกี่ยวกับ KM ซึ่งเรียนรู้จากการอ่านหนังสือที่พี่ๆ แนะนำให้อ่าน (ก็ทำความเข้าใจอยู่คนเดียว) แต่พอได้มีโอกาสได้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานการจัด workshop ครั้งนี้แล้ว ทำให้รู้เลยว่าความรู้และความเข้าใจที่เรามีอยู่ มันมีแค่น้อยนิด และจากคำถามของผู้เข้าร่วมอบรมทำให้เราได้คิดและมีมุมมองที่กว้างและหลากหลายขึ้นเมื่อเทียบกับตัวหนังสือที่เราได้อ่านแต่ไม่ได้สัมผัส
ยกตัวอย่างเช่น การอ่านชุดเครื่องมือธารปัญญา ดิฉันรู้ว่าในทุกขั้นตอนทำอย่างไรและได้มาอย่างไร แต่พอนำไปปฏิบัติในสถานการณ์จริงแล้วมีผู้เข้าอบรมถามว่า ในส่วนของ river diagram ได้กำหนดให้มีเกณฑ์ 5 ระดับ ถ้าเส้น Target อยู่ในระดับ 5 หรือนอกเหนือจากกลุ่มจะหมายถึงอะไรและกลุ่มนั้นจะพัฒนาตัวเองอย่างไร หรือถ้ากราฟของทุกกลุ่มรวมกันเป็นกระจุกอยู่ตรงกลางจะหมายถึงอะไร ซึ่งคำถามนี้เราก็ไม่เคยถามตัวเองเหมือนกันและทำให้เราต้องคิดว่า...เอ..มันเป็นเพราะอะไรนะ..แล้วเกิดจากปัจจัยอะไรบ้างนะ
การปฏิบัติจริงและการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร.) กับคนหลายๆ คนเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความคิดและมุมมองที่กว้างขึ้น....กว่าการที่เราอ่านหรือคิดอยู่เพียงคนเดียวเสมอ...... ซึ่งก็พอดีตรงกับวันนี้ใน weekly meeting ของ สคส. ที่ อ.ประพนธ์ และพี่อ๋อมให้แง่คิดว่า ในการอบรมหรือการเรียนการสอนในชั้นเรียน ไม่ใช่ว่าวิทยากรหรือครูเป็นผู้ให้เพียงฝ่ายเดียว ในขณะเดียวกันผู้เข้าร่วมอบรมหรือผู้เรียนก็ไม่ได้เป็นฝ่ายรับเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับด้วยกันทั้งคู่ (give and take)........
ไม่มีความเห็น