การพูดในเชิงบวก มีประโยชน์สำหรับคนที่มีจิตใจเชิงบวก
คนที่มีจิตใจเชิงบวก คือ คนที่มีทัศนคติในเชิงบวก
คนที่มีทัศนคติในเชิงบวก คือ คนที่สั่งสม "บารมี" คือการกระทำดี และการเสียสละ อันเป็นพฤติกรรมในเชิงบวก...
คนในปัจจุบันสร้าง "กรรม" คือ การกระทำในทางบวกน้อย
จะทำอะไรในทางบวกสักหน่อย ความรู้ ความสามารถที่สมมติเรียกกันว่า "ความฉลาด" ก็หาเหตุผลโน้น หาเหตุผลนี้มาหักล้าง อ้างโน่น อ้างนี่
ไว้ก่อนน่า ไม่จำเป็น ทำอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ไม่เป็นอะไรหรอก เอาไว้ก่อน...
เมื่อจิตใจสั่งสมแต่เหตุผลอันเนื่องมาจากความคิด คิดเฉไฉ เฉโก การกระทำผิดก็คิดว่าเป็นการกระทำถูก สิ่งใดควรทำ ไม่ทำ เพราะคิดว่าทำแล้ว สิ่งใดทำแล้วครั้งหนึ่งก็คิดว่าพอแล้ว ปฏิเสธการที่จะสั่งสม เพิ่มพูน ให้มากขึ้น และมากขึ้น
คนจบปริญญาตรี ปัญญาเฉโก ก็ระดับปริญญาตรี คนจบปริญญาเอก ปัญญาเฉโกก็ระดับปริญญาเอก มิจฉาทิฏฐิเลื่อนระดับชั้นติดตามกันไปอย่างไม่ลด ไม่ละ
ถ้าคนสั่งสมการกระทำความดีมาก เสียสละมาก มิจฉาทิฏฐิจะสวนทางกับสัมมาทิฏฐิ การกระทำย่อมน้อมนำไปทางถูก ความผิดของบุคคลที่ยังมีกิเลสอยู่นั้นมักนำพาไปในทางผิด
คิดให้น้อย ทำให้มาก ทำผิดหรือถูก ก็ถูกต้องเพราะ "ธรรม"
คนที่หลงอยู่ในความคิด ก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นที่จะคิด เสียเวลาคิด เสียเวลาธรรม...
ทำดีไม่ต้องอาย ทำชั่วเป็นเรื่องน่าอาย ทำดี ทำไป ทำได้ "ธรรมดี..."
คนที่ทำดี จะมีธรรมดีคุ้มครองจิต จะพูดเชิงลบด้วยเขาก็คิดบวก จะพูดเชิงบวกด้วยยิ่งมีประโยชน์
แก้ไขพฤติกรรมคนต้องแก้ที่ฐาน "ฐานแห่งจิต"
ฐานแห่งจิตคือ "กรรม" กรรมคือ "การกระทำ
กุศลกรรม คือกรรมดี เป็นการกระทำที่เป็นกุศล
เริ่มนำอัตภาพที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้สร้างกุศลกรรม จะน้อมนำชีวิตไป "ทำดี..."
คิดบวกน้อยคิดลบมาก เห็นด้วยกับความจริงข้อนี้ครับ
วิวาทะที่สกัดออกมาของท่าน โสภณ เปียสนิท สั้น แต่สามารถต่อยอดได้อย่างลึกซึ้ง...
คิดบวกน้อยคิดลบมาก ข้าพเจ้าขอคิดต่อดังนี้
คนเราในปัจจุบันน่าจะมีหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น
คิดบวกน้อย คิดลบมาก และ "ทำลบมาก" ประการที่หนึ่ง
คิดลบน้อย คิดบวกมาก แต่สุดท้ายก็ไปทำลบเหมือนเดิม นี้ประการที่สอง
คิดทั้งลบ คิดทั้งบวก บางครั้งไม่คิดอะไร แต่ก็ทำลบเหมือนเดิม ทำใคร ๆ เขาก็ทำกัน นี้ประการที่สาม
คิดทั้งบวก คิดทั้งลบ บางครั้งคิดอะไรไม่ออก แต่มีหน้าที่ทำบวกก็ทำ ๆ ไป นี้ประการที่สี่
แต่ถ้าคิดไปคิดมา ก็อาจจะมีบุคคลอีกหลายจำพวกแยกย่อยออกไป แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญก็คือ "การกระทำของคนนั้นเป็นอย่างไร..."
ในปัจจุบัน เรา (นักวิชาการ) ส่งเสริมให้คนคิดบวก บอกพวกเรากันเอง (นักวิชาการ) ให้คิดบวก แต่คำถามที่สำคัญก็คือ "เราทำอะไรบวก ๆ หรือไม่...?"
นักวิชาการเป็นนักคิด คิดบวกแล้ว ต้องทำบวกด้วย
ถ้าคิดบวก ไปบอกให้คนอื่นทำบวก แต่การดำเนินชีวิตของตนเอง (นักวิชาการ) ยังทำลบ คือมือถือสาก ปากถือศีล อันนี้เสียชาติเกิดที่กำเนิดมาเป็น "นักวิชาการ..."
เอานะ... สรุปสั้น ๆ ว่า
คิดบวกดี แต่ถ้าจะดียิ่งกว่าคือ ต้องทำบวกด้วย
คิดลบ คิดเลว คิดชั่วช้าอย่างไง แต่สุดท้ายหักห้ามใจไว้ที่ความคิด ให้ติดอยู่ในใจ ครั้นเมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ "การกระทำ" ขอให้ทำความดี และ "เสียสละ"
นักวิชาการที่ทำจริง ทำดีจริง เสียสละจริง จะไม่เป็นแค่ "เสือกระดาษ"
เสือกระดาษคือคนเขียนดี พูดดี แต่ทำไม่ได้เรื่อง หรือมีเรื่องแต่ไม่ได้ทำ
เสือตัวจริงอยู่ในป่า เดินไปเดินมา ใคร ๆ เขาก็กลัว
เสือกระดาษนั่งตากแอร์อยู่ในห้อง จิตใจเศร้าหมองเพื่อไม่ได้ลงมือกระทำ
นักวิชาการควรจะเป็นเสือตัวจริงได้แล้ว
เสือตัวจริงไม่ใช่เสือในสวนสัตว์ที่ลงไปทำวิจัยเป็น Case study หรือกรณีศึกษา แล้วได้มาซึ่งตำแหน่งและผลงานทางวิชาการ
เสือตัวจริงเขาดำรงชีวิตด้วยการหากินอยู่ในป่า ฝากชีวิตไว้กับป่า
เสือในสวนสัตว์ต้องรอให้คนอื่นหยิบยื่นอาหารให้กิน
อาหารของนักวิชาการถ้าอยู่ในสวนสัตว์ก็ได้แก่ งบวิจัย เงินเดือน หรือตำแหน่งทางวิชาการ
แต่อาหารของนักวิชาการที่อยู่ในป่าคือ ความสุขใจ ความอิ่มใจที่ได้ทำความดี ความปิติที่เกิดจากความเสียสละ
ความอิ่มใจ นั้นอิ่มท้องไหม อยากรู้ต้องลองไปทำดู
ถ้ากล้า ๆ กลัว ๆ "กลัวอดตาย" จะทุ่มเทกายและใจลงไป กลัวลำบาก ก็ขอให้อยู่แต่ในสำนักงาน ว่าง ๆ ค่อยลงไปทำ Case study มีเงินเดือนกิน ได้ยศ ได้ตำแหน่ง สุดท้ายก็เกษียณและจากโลกนี้ไปอย่างไม่ค่อยมีใครจะเหลียวแล
ถ้าทำดีจะอดตายไป ต้องลองดู หรือถ้าจะตายเพราะทำความดีก็สมแล้วที่ได้เกิดมาเป็น "คน" คนทาง "วิชาการ..."
ทำดีไม่ต้องอาย ทำชั่วเป็นสิ่งที่น่าอาย
คนหลายคนในปัจจุบันเวลาทำชั่วไม่อาย แต่ทำดีกลับอายและขวยเขิน
คนทำดีจึงกลายเป็นคนแปลก คนทำชั่วกลายเป็นคนธรรมดา เพราะเข้าตามหลักตามภาษา "ประชาธิปไตย..."