เป้าหมาย/แนวทางการพัฒนางานวิชาการด้านยาเสพติด ปี ๒๕๕๔ – ๒๕๕๖
มิติการบริหารงานวิจัย วิชาการ
๑. การพัฒนางานวิชาการที่มีคุณภาพ (สอดคล้องต่อการนำผลงานไปใช้ประโยชน์)
การพัฒนาวิชาการด้านยาเสพติดต้อง คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ระดับสูงสุด ในประเด็น Efficacy (ประสิทธิผล) Effectiveness (ประสิทธิภาพ) Efficiency (ความคุ้มค่า) Equity (ความเป็นธรรม) ทุกเรื่องจะต้องนำไปสู่การใช้ประโยชน์ระดับสูงสุดนี้เสมอ
แนวทางการพัฒนาวิชาการด้านยาเสพติดที่มีคุณภาพประกอบด้วยมาตรการการดำเนินการลักษณะต่างๆ ดังนี้
๑.๑ การจัดทำแผนที่งานวิจัย (research mapping) [๑]
*สำนักงาน ป.ป.ส. ควรกำหนดกรอบเป้าหมายของการศึกษาวิจัยให้ชัดเจน และ
กำหนดความสำคัญของแต่ละเป้าหมาย โดยเฉพาะเมื่อมีงบประมาณจำกัด
*การให้ความสำคัญกับการสร้างยุทธศาสตร์หรือแผนที่วิจัยของ สำนักงาน ป.ป.ส. เป็นเรื่องสำคัญและควรได้รับการเน้นหนักอย่างเต็มที่ทั้งในแง่ของกระบวนการและวิธีการได้มา ตลอดจนการใช้เป็นกรอบและกลไกในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาวิชาการของ สำนักงาน ป.ป.ส. ทั้งนี้ แผนที่วิจัยจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดปัญหาวิจัยที่ตอบโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญ การจัดสรรทรัพยากร การสร้างเครือข่ายทางวิชาการฯ
*ในยุทธศาสตร์หรือแผนที่วิจัยควรคำนึงถึงการพัฒนานักวิจัยหรือเครือข่ายการวิจัยซึ่งไม่เพียงแต่เชิงปริมาณแต่ควรเน้นเชิงคุณภาพด้วย เพื่อการศึกษาวิจัยโดยทีมที่เป็นสหวิทยาการ เพิ่มความหลากหลายในการคิดโจทย์และออกแบบวิธีการวิจัยใหม่ๆ ขึ้น รวมทั้งการก้าวไปสู่บทบาทเชิงรุกด้วยการริเริ่มผลักดันให้มีการพัฒนางานวิจัยและนักวิจัยด้านยาเสพติดร่วมกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิชาการ แหล่งทุน สภาวิจัยแห่งชาติ ส่งเสริมให้มีการใช้แนวคิด ทฤษฎี และวิธีวิทยาใหม่ๆ ในการวิจัยปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง
*งานวิจัยด้านยาเสพติดมีความหลากหลายของพื้นที่ ขนาดโครงการ กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มตัวอย่างการวิจัย ประเด็นคำถามเฉพาะของการวิจัย การออกแบบการวิจัย และวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ฯลฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ควรได้มีการนำมาสังเคราะห์และมองในภาพกว้างว่างานวิจัยทั้งหมดมีทิศทางไปในทางใด มีเนื้อหาที่หนักแน่น เป็นระบบ ต่อเนื่องกัน และมีพลังในการตอบโจทย์ระดับยุทธศาสตร์เพียงใด
*การผลักดันให้มียุทธศาสตร์หรือแผนที่วิจัยจะมีคุณูปการต่อการจัดลำดับความสำคัญ การจัดสรรทุนวิจัย โดย สำนักงาน ป.ป.ส. อาจพิจารณาเคลื่อนบทบาทเชิงรับไปสู่บทบาทเชิงรุกด้วยการเป็นกลไกประสานการระดมทุนเพื่อการวิจัย จากแหล่งทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติมจากงบประมาณประจำปี และ สำนักงาน ป.ป.ส. ควรทำงานร่วมกับภาคอื่นๆ เช่น สสส. สื่อมวลชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสถาบันต่างๆ ในชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เป็นต้น
• ลักษณะประเด็นที่ควรมีการศึกษาวิจัย
*ควรสนับสนุน ชุดโครงการวิจัยโดยกำหนดปัญหาที่สำคัญที่ต้องการแก้ไข ซึ่งเป็นโครงการที่
มีคำถามการวิจัยหลายข้อเพื่อมุ่งเน้นให้คำตอบในเรื่องเดียวกัน รวมทั้งโครงการศึกษาวิจัยที่มีการบูรณาการจากหลายระบบ เน้นโครงการใหญ่ที่มีการศึกษาย่อยๆ ที่แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กันและนำผลของแต่ละส่วนมาบูรณาการเพื่อให้ได้ภาพรวมที่จะนำไปใช้ประโยชน์ โดยกลุ่มนักวิชาการจากสหสาขาวิชา
*การศึกษาวิจัยเพื่อหาทางลด Demand น่าจะให้ประโยชน์ในการกำหนด
นโยบายการปฏิบัติมากกว่าการศึกษาเพื่อลด Supply โดยการสร้างภูมิคุ้มกันในชุมชนน่าจะเป็นแนวทางที่ ได้ประโยชน์สูงสุดและเห็นผลชัดเจนในขณะนี้
*ควรสนับสนุนโครงการวิจัยลักษณะเชิงรุก มากกว่าการศึกษาสำรวจย้อนหลังเช่น
การทดสอบทางจิตวิทยา การทดสอบความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นต้น และเป็นโครงการระยะยาวโดยเฉพาะในประเด็นปัญหาที่มีความซับซ้อนเพื่อช่วยให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน
*ปัจจัยต่างๆ ที่ศึกษาควรครอบคลุมปัจจัยทางตรงและทางอ้อม เช่น แรงผลักดันให้มีการเสพ/จำหน่ายยาเสพติด ไม่ใช่เฉพาะเพียงปัจจัยส่วนบุคคล สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ยังอาจรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทางอ้อม เช่น การขู่เข็ญ การทำร้ายผู้ใกล้ชิด เป็นต้น
๑.๒ การพัฒนากรอบการวิจัยและโจทย์ ประเด็นการวิจัยที่มีศักยภาพในการพัฒนางาน
วิชาการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์
ประเด็นที่ควรพิจารณาประกอบด้วย
๏มุมมองด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ของผู้บริหาร
มุมมองของ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. (นายพิทยา จินาวัฒน์) [๒]
ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
๑. ปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้เข้าสู่วงจรยาเสพติดที่ยังไม่ลดลง ทั้งด้านการเสพ และการค้าโดยเฉพาะผู้เสพและผู้ค้ารายใหม่ โดยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่สำคัญ และควรกำหนดยุทธศาสตร์ แนวทางในทิศทางใดที่สามารถสกัดกั้น ลดจำนวนผู้เข้าสู่วงจรยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิผล
๒. ปัญหากลุ่ม “เยาวชน” ที่ยังคงเข้าสู่วงจรยาเสพติด ทั้งในด้านการเสพ การติด และการค้าอย่างต่อเนื่อง ควรมีการศึกษาสาเหตุที่ส่งผลให้การดำเนินงานป้องกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนไม่มีประสิทธิผล เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไข
๓. ศึกษาแนวคิด ทางเลือกนโยบาย ยุทธศาสตร์ รวมทั้งประสบการณ์/บทเรียนของประเทศต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับ โดยควรศึกษาและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย
๔. ศึกษาผลสำเร็จของการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในลักษณะที่มุ่งต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และแนวทางการพัฒนาหรือปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อลดผู้เสพรายใหม่ ทั้งในเรื่อง
- การจำแนกกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มเสี่ยง
- การจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมาย (Segmentation Targeting Positioning: STP)
- การใช้มาตรการ (Means)
ที่เหมาะสมกับลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย เช่น มาตรการ
การให้ข้อมูลข่าวสาร (Information) การศึกษา (Education)
การจัดบริการทางเลือก (Alternatives)
การแทรกแซง (Intervention) เพื่อป้องกันทั้งในลักษณะปฐมภูมิ ทุติยภูมิ
และตติยภูมิ
๕. ศึกษาการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม โดยการลดปัจจัยลบ และเพิ่มปัจจัยบวก รวมทั้งศึกษาจุดอ่อน ปัญหา/อุปสรรค ที่เกิดจากแนวคิดหรือเนื้อหาของยุทธศาสตร์/มาตรการ และกลไก หรือกระบวนการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และเสนอวิธีการปรับปรุงการกำหนดยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น
๖. ศึกษาและพัฒนาการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การปรับเปลี่ยนทัศนคติของชุมชน/สังคม ให้ยอมรับผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด โดยการศึกษาเปรียบเทียบ การรณรงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จ เช่น การรณรงค์งด/ลดการสูบบุหรี่ การประหยัดพลังงาน การออกกำลังกาย เพื่อวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี เงื่อนไข/ปัจจัยสภาพแวดล้อม หรือตัวแบบการรณรงค์ที่เป็นตัวแบบที่เหมาะสมกับงาน ยาเสพติด
๗. การศึกษาเพื่อปรับปรุงองค์ประกอบของนโยบาย/ยุทธศาสตร์ด้านยาเสพติดในสถานศึกษา โครงสร้างองค์กรกลุ่มเด็กและเยาวชนในสถานศึกษา ระบบงานยาเสพติด กลไกการบริหารจัดการ ระบบการจัดการศึกษา/การเรียนการสอน หลักสูตร องค์ประกอบเรื่องข้อมูล องค์ความรู้ และบุคลากร ฯลฯ
๘. การพัฒนารูปแบบการบูรณาการงานด้านการป้องกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนกลุ่มเสี่ยงในระดับพื้นที่ (จังหวัด/ตำบล/ชุมชน)
๙. การพัฒนายุทธศาสตร์/ยุทธวิธีการจัดสรรทรัพยากร (Reallocate) ในระดับตำบล เช่น อบต. ที่มีขนาดและความรุนแรงของปัญหายาเสพติด แต่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร เช่น งบประมาณ กำลังคน องค์ความรู้ เป็นต้น
๑๐. พัฒนากิจกรรมทางเลือก เพื่อรองรับเยาวชนกลุ่มเสี่ยงนอกระบบการศึกษา/กลุ่มว่างงาน แรงงานไร้ฝีมือ กลุ่มที่มีปัญหาด้านค่าครองชีพ/กลุ่มเร่ร่อน เจ้าภาพการดำเนินงาน แนวทางการ บูรณาการการทำงาน รวมทั้งกระบวนการรองรับเยาวชนที่ผ่านการฝึกอบรมในสถานฝึกและอบรมเยาวชน สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนเพื่อการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
๑๑. การพัฒนาระบบข้อมูลระดับจังหวัด/อปท. รวมทั้งรูปแบบ/กลไก/กระบวนการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับงานด้านการป้องกันยาเสพติด เช่น ระบบข้อมูลเยาวชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ และการส่งต่อข้อมูล กรณีเกิดการกระทำความผิดของเยาวชนข้ามพื้นที่ เพื่อการติดตามดูแล ช่วยเหลือ
ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการบำบัดรักษา
๑. ศึกษาความเหมาะสมของนโยบาย/ยุทธศาสตร์ ระบบงานด้านการบำบัดทั้ง ๓ ระบบ รวมทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ
๒. ศึกษาเพื่อการบูรณาการการดำเนินงานบำบัดรักษา
๓. การศึกษาและการพัฒนาเพื่อนำแนวคิดเรื่อง Harm Reduction, Harm Minimization มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย
๔. การทบทวนแนวคิด นโยบาย ยุทธศาสตร์ และกฎหมายด้านบำบัดรักษา โดยเฉพาะพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕
ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการปราบปรามยาเสพติด
๑. ศึกษาประสิทธิผลของการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดของไทย เพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงาน
๒. ศึกษาสัดส่วนการลงโทษที่เหมาะสมทางคดียาเสพติด และประสิทธิผลการยับยั้งการกระทำผิด
ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
การศึกษาผลงาน (Output) ผลลัพธ์ (Outcomes) ของความร่วมมือด้านยาเสพติดกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ เพื่อการปรับปรุงนโยบาย ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านต่างๆ และเพื่อพัฒนามาตรการสกัดกั้นมีประสิทธิผล
ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านภาคประชาสังคม
๑. ศึกษาเพื่อพัฒนานโยบาย และทิศทางการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของภาคประชาสังคม/ประชาชน
๒. ศึกษาเพื่อกำหนดทิศทาง/ยุทธศาสตร์ ในการสนับสนุนองค์กรผู้ประกอบการทางสังคม (Social Entrepreneur) เพื่อการเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
๓. ศึกษาเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ในการสนับสนุนให้อาสาสมัครหรือกองทัพภาคประชาชน
ในการควบคุมและลดปัญหายาเสพติดในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
๏มุมมองจากนักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงานจากประสบการณ์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด[๓]
• ปัญหาเรื่องวิธีคิดและวิธีการจัดการปัญหายาเสพติด
-การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ควรให้น้ำหนักกับมาตรการป้องกันอย่างเป็นระบบครบวงจรทั้งสังคมเพื่อยับยั้งไม่ให้คนเข้าไปสู่วงจรของยาเสพติดมากกว่ามาตรการอื่นๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “prevention better than cure”
-ปรับเปลี่ยนกรอบทรรศนะ วิธีคิด และวิธีการทำความเข้าใจกับปัญหาใหม่ ซึ่งควรคิดใน
เชิงการควบคุมพื้นที่และการกระจายทรัพยากรทั้งหลายเพื่อให้ไปรักษาพื้นที่ไว้ เช่น การมีเครือข่ายยุติธรรมชุมชน เป็นต้น
-ปรับเปลี่ยนวิธีคิดในเรื่องมาตรการบำบัดรักษาจากการตั้งรับรอผู้เสพเข้าสู่สถานพยาบาล
ที่ปลายทางของปัญหา เป็นมาตรการเชิงรุกในพื้นที่และให้ความรู้ที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
• นโยบายประกาศสงครามยาเสพติดของประเทศไทยกับผลกระทบที่เกิดขึ้นในเวทีโลก
-ควรศึกษาวิจัยเกี่ยวกับมาตรการประกาศสงครามยาเสพติดกับมาตรการทางเลือกในด้านความเหมาะสมและผลกระทบต่อสังคมไทย
-ควรศึกษาความเป็นไปได้และการตอบรับจากผู้มีส่วนได้เสียในสังคมในการนำมาตรการลด
อันตรายจากการใช้ยาเสพติด (harm reduction) มาใช้ จากนั้นจึงทบทวนและหาแนวทางที่เหมาะสมในการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้กับสังคมไทย
• การแก้ปัญหายาเสพติดขาดการบริหารจัดการเชิงระบบและขาดความต่อเนื่อง
-ควรพัฒนาระบบการบริหารจัดการโดยบูรณาการกลไกเชิงหน้าที่กับกลไกเชิงพื้นที่ให้ทำงาน
เชื่อมโยงร่วมกันอย่างสมบูรณ์ คือเอาแนวคิดของกลไกเชิงหน้าที่ไปร่วมประสานและพัฒนาการจัดการส่วนกลไกเชิงพื้นที่ เช่น มาตรการปราบปรามต้องใช้กลไกเชิงหน้าที่ลงไปจัดการไปเสริม ส่วนการควบคุมใช้ชุมชนได้ เพราะชาวบ้านรู้ว่ามียาเสพติด ใครขาย ใครเสพ แต่ ถ้าพบนักค้าสำคัญๆ หรือพบ hardcore พื้นที่ก็ไม่สามารถจัดการเองได้ ต้องใช้กลไกเชิงหน้าที่ลงไปจัดการเสริมกัน
-ควรกำหนดให้งานยาเสพติดเป็นภารกิจหลักภารกิจหนึ่งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบุ
ไว้ในพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ อันจะทำให้เกิดช่องทางสนับสนุนงบในการพัฒนางานด้านยาเสพติดอย่างยั่งยืน
-ควรพัฒนาตัวแบบ (model) การควบคุมปัญหายาเสพติดในลักษณะ “หนึ่งตำบล” หรือ
“หนึ่งหมู่บ้าน” ขึ้น อาจรวมถึง “หนึ่งอำเภอ” หรือ “หนึ่งจังหวัด” ในระดับที่สูงขึ้น
-พัฒนาระบบการจัดการเชิงบูรณาการที่จะทำให้ทุกกระทรวง ทบวง กรมเมื่อลงสู่พื้นที่แล้ว
แก้ปัญหาทั้งชุดครบวงจรของปัญหา ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาความยากจน ฯลฯ ไปพร้อมๆ กัน
• ปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในเรื่อง “ตัวยา”
-ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมเจตนาที่จะใช้ยา/สารเสพติดของ
ผู้กระทำความผิด และเพื่อสะดวกต่อการบังคับใช้กฎหมาย
-เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจ ให้ความรู้ ความเข้าใจให้เกิดความตระหนักในเรื่องโทษและ
พิษภัยของยาเสพติด ด้วยวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้เกิดทักษะในการหลีกเลี่ยงการใช้ยาเสพติด
-ส่งเสริมกิจกรรมทางเลือกที่ก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และใช้เวลาว่างให้เป็น
ประโยชน์โดยปราศจากการใช้ยาเสพติด
• การปราบปรามยาเสพติดขาดยุทธวิธีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
-พัฒนามาตรการและเทคนิควิธีการด้านการปราบปรามให้ทันต่อรูปแบบการค้ายาเสพติด
ที่เปลี่ยนแปลงไป
-พัฒนากฎหมายให้สามารถเอาผิดกับผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นรายสำคัญและมีพฤติการณ์ร้ายแรง
และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยการใช้บทลงโทษสูงสุด และบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในการปฏิบัติอย่างจริงจัง
-ปรับเจตคติของประชาชนให้มีความกล้าเปิดเผยข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และสร้าง
ความมั่นใจผู้ที่เป็นแหล่งข่าวว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการให้ข้อมูล
-สร้างความสมดุลระหว่างการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดระบบ
สวัสดิการและให้รางวัลกับผู้ที่ปฏิบัติงานปราบปรามที่มีผลงานดี
-การปราบปรามยาเสพติดบริเวณชายแดนควรใช้พลเรือน ชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่นกับ
ตำรวจตระเวนชายแดนหรือทหารในการทำงาน
-ระบบการหมุนเวียนกำลังพลมาใช้แทนการสับเปลี่ยนทั้งชุด เพื่อสืบทอดองค์ความรู้ และ
รักษาข้อมูลเครือข่ายในชุมชนให้คงอยู่
• การป้องกันยาเสพติดขาดผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการมาตรการ
-ควรกำหนดให้มีเจ้าภาพรับผิดชอบในการตอบโจทย์สังคมเรื่องการพัฒนาทักษะชีวิตของ
ประชาชนทุกเพศทุกวัยที่เหมาะสมกับขนบธรรมเนียม ประเพณี และค่านิยมอันดีงามของสังคม ที่มีความสมดุลแห่งชีวิตท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ อันจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ และช่วยลดปัญหาสังคมทั้งระบบ รวมทั้งปัญหายาเสพติด
-สนับสนุนด้านงบประมาณ และการจัดการให้เยาวชนมีกิจกรรมทางเลือกตามความสนใจ
ของเด็กและเยาวชน อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับรากฐาน จนถึงภาพรวมของประเทศ
• ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมาตรการบำบัดรักษา
-ปรับเจตคติสังคมชุมชนให้ยอมรับว่าผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเป็นผู้ป่วย เป็นโรคเรื้อรังที่ใช้
ระยะเวลาในการรักษานาน และอาจเป็นซ้ำได้หากผู้ป่วยมิได้ดูแลตนเอง ครอบครัวต้องเข้าใจ และรู้วิธีที่จะจัดการกับปัญหา สังคมก็ต้องให้กำลังใจและให้โอกาส
-ควรมีหน่วยงานกลางบูรณาการงานแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติด และบริหารจัดการให้เป็น
หน่วยงานชำนาญเฉพาะทางอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยดำเนินการผลักดันแนวคิดการจัดตั้งกรมบำบัดให้เป็นรูปธรรม
-ขยายเครือข่ายการให้คำปรึกษา และบริการด้านสุขภาพเชิงบูรณาการที่หลากหลายแบบ
จุดเดียวจบ (one stop service) ในมิติที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น ยาเสพติด เอดส์ ปัญหาสุขภาพจิต ฯลฯ และแบบสายด่วนให้คำปรึกษา (hotline) ทั้งกลุ่มเสี่ยงที่ต้องการบำบัดรักษา และกลุ่มที่ต้องการคำแนะนำในช่วงเวลาเปราะบาง
-ควรส่งเสริมให้มีการนำทุนทางสังคมมาใช้ในชุมชนเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ยั่งยืน
เช่น เครือข่ายครอบครัว องค์กรศาสนา องค์กรภาคเอกชน และองค์กรภาคประชาชน นอกเหนือจากการทำงานของภาครัฐ โดยเฉพาะแนวคิดบ้านกึ่งวิถี (half way house) มาจัดทำภายใต้การสนับสนุนของรัฐและ สสส. เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มเสี่ยงแทนการกลับบ้านที่อาจมีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม
-ควรพัฒนาแหล่งองค์ความรู้ในภาพรวมและองค์ความรู้เฉพาะโรคยาเสพติดมาใช้เตือนภัย
กรณีที่มีประเด็นข้อมูลใหม่ หรือยาประเภทใหม่ อย่างกว้างขวางเช่นเดียวกับการรณรงค์ในเรื่องของสุรา และบุหรี่
-ควรมีการวิจัยเพื่อเตรียมการรองรับกฎหมายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น และวิจัยเพื่อพัฒนาเรื่องอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง เช่น ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาตรการ harm reduction ที่เหมาะสมมาใช้ในประเทศไทย การวิจัยกลุ่ม extreme ต่างๆ เช่น กลุ่มที่กระทำผิดซ้ำซาก ๒-๓ ครั้ง ซึ่งเป็นการทำวิจัยแบบ action research ที่เป็นการวิจัยแบบประยุกต์และพัฒนามาตรการและผู้ปฏิบัติงานยาเสพติดไปพร้อมๆ กัน
๑.๓ การกำกับคุณภาพผลงานวิจัยและกำกับทิศทางการวิจัย
แนวทางดำเนินการกำกับคุณภาพผลงานวิชาการวิจัยประกอบด้วย
-ความถูกต้องของผลการวิจัย ซึ่งต้องใช้ความรู้ด้านระเบียบวิธีวิจัยแบบต่างๆ
-ความถูกต้องเมื่อนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในบริบทอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการวิเคราะห์งานวิจัย
-การปฏิบัติตามมาตรการที่ได้ระบุไว้ในระเบียบวิธีวิจัย
-จริยธรรมการวิจัย
-คุณภาพของการเก็บข้อมูล
-คุณภาพขั้นตอนการดำเนินการ
-ระดับการรายงานตามความเป็นจริง
-การบิดเบือนข้อมูลวิจัยและการสร้างข้อมูลการวิจัย
ฯลฯ
รูปแบบการควบคุมและกำกับทิศทางดำเนินการได้โดย
๑) การควบคุมกำกับโดยผู้จัดการงานวิจัย โดยใช้การสื่อสารและการติดตามงวดงาน และรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนั้นๆ
๒) การควบคุมกำกับโดยคณะกรรมการกำกับทิศทาง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยในประเด็นของแผนงาน ซึ่งได้ติดตามและมีส่วนร่วมในการพัฒนากรอบแนวคิดในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักวิจัย (จากภายนอก)
๓) การใช้คณะผู้ประเมินจากภายนอก ที่เป็นทีมวิเคราะห์ทางวิชาการ เน้นตรวจสอบการทำงานเพื่อให้การวิจัยบรรลุเป้าหมาย
๒. มีการนำผลงานวิชาการไปใช้ประโยชน์ (ตรงตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนา องค์ความรู้)
แนวทางในการส่งเสริมให้เกิดการนำผลงานวิจัย วิชาการไปใช้ประโยชน์ ได้แก่
๑. การพัฒนาให้มีหน่วยเฝ้าระวังและวิเคราะห์ความรู้ หรือ Knowledge Clearing
House[๔] เพราะหัวใจสำคัญคือความรู้ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา จะมีองค์กรเหล่านี้เพื่อทำหน้าที่ค้นหา วิเคราะห์ สังเคราะห์ องค์ความรู้ต่างๆจนได้เป็นแนวทางสำหรับผู้ปฏิบัติหรือผู้กำหนดนโยบาย
๒. การสังเคราะห์งานวิจัยโดยการบูรณาการผลลัพธ์ของการศึกษาวิจัยแต่ละโครงการ และบูรณาการข้อมูลข้ามยุทธศาสตร์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เช่น การศึกษาปัจจัยและรูปแบบการดำเนินงานป้องกันปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนสามารถบูรณาการผลงานวิจัยร่วมกับการวิจัยทางด้านการควบคุมตัวยาและการบริหารจัดการ ในประเด็นพฤติกรรมการเข้าสู่วงจรยาเสพติด (เสพ/ค้า) ของเด็กและเยาวชน และการศึกษาข้อมูลการแพร่ระบาดยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน การศึกษาสถานการณ์ปัญหาการใช้สารเสพติดในสถานบันเทิง เพื่อวิเคราะห์เส้นทาง รูปแบบการเข้าสู่วงจรยาเสพติดของเด็กและเยาวชน เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันปัญหาและการขยายตัวของปัญหาไปยังพื้นที่หรือกลุ่มประชากรอื่น ซึ่งการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และบูรณาการผลงานวิจัยวิชาการข้ามยุทธศาสตร์นี้เป็นหนทางแก้ไขข้อจำกัดของการกำหนดกรอบการศึกษาวิจัยตามรายยุทธศาสตร์ที่ได้ดำเนินการมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕
๓. การพัฒนาคลังข้อมูลวิชาการด้านยาเสพติด ในลักษณะคลังข้อมูลรวม/กลาง และคลังข้อมูลระดับภาค/พื้นที่ และการเชื่อมต่อระบบข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อความสะดวกในการนำเข้าข้อมูลและการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
จากการประมวลสถานะองค์ความรู้ทั้งมิติด้านการพัฒนาวิชาการฯ และการบริหารงานวิชาการตามที่กล่าวมาแล้ว การจัดทำกรอบทิศทางการพัฒนาวิชาการในปี พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๖ ยังจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ถึงองค์ความรู้ในระดับภูมิภาค/พื้นที่เพิ่มเติม เพื่อการจัดกรอบทิศางที่สอดคล้องกับสถานะองค์ความรู้ในปัจจุบัน และความต้องการงานวิชาการในระดับพื้นที่ต่อไปอีกด้วย
[๑] จากข้อเสนอเพื่อพัฒนาแนวทางและกระบวนการพัฒนาวิชาการด้านยาเสพติดในภาพรวม และ สำนักงาน ป.ป.ส. โดย ที่ปรึกษาด้านวิชาการของคณะกรรมการพัฒนาวิชาการ วิจัย องค์ความรู้ และการประเมินผลด้านยาเสพติด ของ สำนักงาน ป.ป.ส. ประกอบด้วย รศ.ดร.ธงธวัช อนุคระหานนท์ รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง รศ.ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย และ นายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง,กันยายน ๒๕๕๒
[๒] ข้อมูลจากสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและบูรณาการงานวิชาการด้านยาเสพติด ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๖
วันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ โดยปรับให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ในภาพรวม
[๓] เพิ่งอ้าง
[๔] ปาฐกถาเรื่อง จากวิจัยไปสู่นโยบาย โดย ศ.นพ.วิษณุ ธรรมลิขิตกุล งานประชุมวิชาการโครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย ประจำปี ๒๕๕๑
ไม่มีความเห็น