เอ็มอาร์ไอ (MRI) เป็นเครื่องตรวจอวัยวะภายในด้วยสนามแม่เหล็กเป็นเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงและทันสมัย ช่วยให้ได้ภาพสแกนอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ผู้ป่วยไม่ต้องกลั้นหายใจไว้นานๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่กลั้นหายใจนานๆ ไม่ได้ ก็สามารถตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือนี้ได้ เพื่อนำไปสู่การรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น
สิ่งสำคัญ คือ การตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเอ็มอาร์ไอนี้ สามารถตรวจในผู้ที่ไม่สามารถตรวจแบบใช้รังสีเอ็กซ์เรย์ และผู้ที่แพ้สารทึบรังสีได้ด้วย เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ที่แพ้สารทึบรังสี ผู้ที่มีภาวะไตวาย ซึ่งจะปลอดภัยและไม่มีผลแทรกซ้อน
เครื่องเอ็มอาร์ไอ(MRI) สามารถใช้ตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะใดได้บ้าง
ตรวจสมอง
หาภาวะสมองขาดเลือด
ดูลักษณะเส้นเลือดของสมอง(MRA)
หาความผิดปกติของเนื้อสมอง เยื่อหุ้มสมอง
หาภาวะเนื้องอกสมอง
ตรวจระบบไหลเวียนโลหิต (MRA, MRV)
สามารถดูหลอดเลือดได้ทั่วร่างกายว่ามีการตีบแคบอุดตัน หรือแตกที่จุดใดหรือไม่
ตรวจระบบกระดูกและไขสันหลัง
โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง-ปวดคอเรื้อรัง ปวดร้าว ชาแขนหรือขา สามารถตรวจดูลักษณะของหมอนรองกระดูกสันหลัง ดูระบบประสาทไขสันหลังได้อย่างชัดเจน ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำและวางแผนการรักษาได้รวดเร็วขึ้น
ตรวจระบบกล้ามเนื้อ และข้อต่างๆ
โดยเฉพาะปัญหาข้อไหล่ยึดติด เพื่อหาบริเวณที่เกิดพังผืดต่างๆ
ตรวจดูอวัยวะภายในร่างกายได้แทบทุกส่วน
อาทิ ตับ ไต ม้าม ถุงน้ำดี ลำไส้ และอวัยวะภายในทรวงอก
การตรวจด้วย CT-Scan หรือเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์จะใช้เวลาในการตรวจเร็วกว่า เหมาะสำหรับการตรวจอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา เช่น หัวใจ เนื่องจากจะตัดภาพออกมาได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเสี้ยววินาทีจึงเหมาะ สำหรับการตรวจ สภาพหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ สภาพหลอดเลือดทั่วร่างกาย ความผิดปกติภายในสมอง เช่นก้อนเนื้องอกในสมอง หรือภาวะเลือดออกในสมอง และผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตาม การจะต้องตรวจร่างกายด้วยวิธีใดนั้น ซึ่งอยู่กับลักษณะอาการของผู้ป่วยความรุนแรงของโรค หรือดุลยพินิจของแพทย์ผู้ตรวจและรักษา ที่จะช่วยชี้แจงให้ท่านทราบถึงความจำเป็นในการตรวจแต่ละอย่าง ซึ่งหัวใจของการรักษา คือ การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำและรวดเร็ว
ผู้ที่ห้ามตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ
เนื่องจาก MRI เป็นการตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก ผู้เข้ารับการตรวจจะอยู่ภายใต้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าตลอดระยะเวลาตรวจดังนั้นจึง มีข้อห้าม ดังนี้
1. ผู้ที่ผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจ
2. ผู้ที่ผ่าตัดใส่คลิปหรือตัวหนีบหลอดเลือดในโรคเส้นเลือดโป่งพอง
3. ผู้ที่ผ่าตัดใส่อวัยวะเทียมภายในหู
4. ผู้ที่ผ่าตัดใส่โลหะต่างๆ ภายในร่างกาย เช่น ข้อเทียมต่างๆ โลหะที่ดามกระดูก
5. สตรีมีครรรภ์โดเยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3เดือนแรกขอกงารตั้งครรภ์ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าการตรวจนี้จะทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่
6. กรณีที่คิดว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นโลหะติดอยู่ที่ตาหรือภายในตาหรือภายในร่างกาย
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากวารสารสินแพทย์
ที่มา www.vcharkarn.com
ไม่มีความเห็น