ขอวีซ่าอเมริกา ตอนที่ 3


สอบสัมภาษณ์

      หลังจากลงทะเบียนทาง Internet ชำระเงินและจัดเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงวันนัดสัมภาษณ์ คือ 28 ตุลาคม 2553 ผู้เขียนออกจากที่พักตั้งแต่ตี 4 กว่า ไปถึงสถานฑูตอเมริกา ฝั่งถนนวิทยุ ประมาณตี 5 เวลาบอกแท๊กซี่ให้ย้ำว่าไปฝั่งถนนวิทยุน่ะค่ะ ตรงข้ามจะเป็นสวนลุมพินี เพราะสถานฑูตมี 2 ด้าน เห็นบางท่านบอกว่าหลงทางไปอีกฝั่งหนึ่งมาต้องวนรถกลับมา เสียเวลาพอสมควรค่ะ

     ผู้เขียนไปถึง ตี 5 มียามรักษาความปลอดภัยมาทำงานกันแล้ว 4-5 คน มีฝรั่งอเมริกามานั่งรอก่อนผู้เขียน 1 คน ผู้เขียนรอเป็นคนที่ 2 คิวนัดสัมภาษณ์ 8 โมงเช้า ประตูสถานฑูตเปิด 06.30 น. ปรากฏว่า ผู้เขียนมาก่อนเพื่อนก็ยังต้องไปต่อท้ายคนที่ได้คิว 07.00 ,07.15, 07.45 น. ถึงจะเป็นคิวผู้เขียน 08.00 น. เฮ้อ!!!. กว่าจะได้เข้าไปในสถานฑูตปาเข้าไปตั้ง 07.50 น. สรุปยืนเข้าแถวรอด้านนอกเกือบ 3 ชั่วโมง โอ้อออออ พระเจ้าอะไรกันนี่ นึกในใจ เราเป็นใครกันหนา ทำไมถึงต้องมาอดทนขนาดนี้

     ระหว่างที่เข้าแถวรอนั้น มีน้องเจ้าหน้าที่คนสวย พูดจาไพเราะ คอยมาตรวจเอกสารเป็นระยะ ๆ และแยกประเภท visa  K 1 (วีซ่าคู่หมั้น) และ visa B2 (วีซ่าท่องเที่ยว/เยี่ยมเียียน) คนที่ขอวีซ๋าคู่หมั้นมีประมาณ 5-6 คนได้อภิสิทธิ์เข้าไปในสถานฑูตก่อน (นึกน้อยใจ แหมเราอุตส่าห์มาเป็นคนที่สอง แต่กลับได้เข้าไปทีหลังเกือบท้าย ๆ แถว แต่นึกอีกที คงเป็นระบบบริหารจัดการของเขา เหมือนเวลาเราทำงานกับคนหมู่มากก็ต้องมีระบบมาบริหารจัดการเหมือนกัน) ยืนรอนาน ๆ เลยหันไปคุยกับคนข้าง ๆ ปรากฏว่า เขาได้สามีฝรั่งมาขอวีซ่าคู่หมั้น ครั้งแรกไม่ผ่าน สามีอยู่ที่อเมริการ้องไห้ใหญ่ มาคราวนี้สามีจ้างทนายหมดไป 45,000 บาท เพื่อช่วยภรรยาเตรียมเอกสารให้ ผู้หญิงเป็นม่ายลูกติด 1 ทำนาอยู่กาฬสินธุ์ จบแค่ ม.6 น่ะค่ะ พูดภาษาอังกฤษคล่องเชียว อีกคนเป็นช่างอยู่โคราชได้ทุนของบริษํทไปเรียนต่อวิศวกรที่เท๊กซัส สองคนนี้ดูกระวนกระวายและเครียดมาก ๆ ตัวผู้เขียนเองสังเกตแล้วยังงง ๆ ว่าทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น ขอไม่ได้ก็ไม่ต้องไปดิ บ้านเราน่าอยู่ที่สุดในโลก ...แต่พอตอนท้าย ๆ ช่วงสอบสัมภาษณ์ผู้เขียนเองกลับมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อยจนฟังเขาถามไม่รู้เรื่อง

       เข้าไปในรั้วสถานฑูต อ้าวต่อแถวอีกแล้ว เพื่อรับเอกสารกรอกขนาดซองจดหมายราชการสีขาว กรอกชื่อ-ที่อยู่ นิด ๆ หน่อย ๆ ตรงนี้จะมาเจอน้องคนสวยที่ออกไปจัดระเบียบแถวพวกเราตั้งแต่อยู่ด้านนอกรั้วตอนเช้ามืด น้องเขาจะตรวจดูเอกสารและแยกเอกสารต่าง ๆ ผู้เขียนเตรียมเอกสารไปเพียบตามที่บอกไปในตอนที่ 2 แต่น้องเขาเลือกเอาแค่ 6 แผ่นคือ 1. หนังสืออนุญาตให้ไปต่างประเทศจาก สพฐ.ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2.หนังสือรับรองการเป็นข้าราชการฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.หนังสือเชิญจากเพื่อนและจากบริษัทเพื่อน รวมแล้วกระดาษแค่ 6 แผ่น นอกนั้นน้องคนสวยบอกเราให้เก็บไว้

       ไปต่อแถวอีกเพื่อสแกนนิ้วมือ ทุกจุดใช้เวลาทำการไม่นานน่ะค่ะ แต่เสียเวลาต่อแถวคอยนานมาก ผู้เขียนเริ่มหิวแล้วเพราะทานกาแฟมาแก้วเดียว จึงหยิบหมากฝรั่งมาเคี้ยวเพื่อไม่ให้น้ำย่อยกัดกระเพาะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะไม่คุ้มกัน พอใกล้จะถึงคิวสแกนนิ้วมือ ผู้เขียนเดินไปทิ้งหมากฝรั่ง เดินกลับมาน้องที่ต่อท้ายชี้มือให้ไปสแกนนิ้วมือ ปรากฏว่า

       เจ้าหน้าที่ที่รอรับการสแกนนิ้วมือ เป็นคนไทยแต่เหมือนกันเขาไร้วิญญานอย่างไรไม่รู้ ไม่ยิ้ม หน้าเครียดตลอดเวลา

        ผู้เขียนทักไปว่า "สวัสดีค่ะ"

        แต่หล่อนกับถามมาว่า "เมื่อกี้คุณมาจากทางไหน"  ผู้เขียนงงนิด ๆ คิดว่าหล่อนคงไม่ใช่คนไทย เพราะคนไทยถ้าใครทักสวัสดีมา เราจะตอบสวัสดีกลับทันที แต่หน้าตาหล่อนเป็นคนไทยชัด ๆ นี่หนา

       ผู้เขียน        "แถวดิฉันอยู่ตรงนี้ค่ะ" แล้วผู้เขียนหันหลังกลับไปชี้แถวตัวเอง(เขามีช่องสแกนนิ้ว 3 ช่้องให้เข้าแถว 3 แถวแต่สังเกตว่าแถวผู้เขียนขยับช้ามาก ๆ ) คราวซวยเลย ใครไปอย่าไปเข้าแถวแรกทางซ้ายมือน่ะค่ะให้เข้าแถวที่ 2-3)

      หล่อน        "เมื่อกี้คุณเดินมาจากแถวโน้นใช่ไหม" หล่อนตะคอกใส่ผู้เขียนพร้อมสายตาที่เหมือนกับเราเคยมีเรื่องโกรธแค้นกันมาสัก 3 ชั่วโคตรแบบไม่ให้อภัยกัน และพยายามบังคับให้ผู้เขียนยอมรับโทษที่หล่อนกำลังพยายามจะยัดเยียดให้

      ผู้เขียน       "ไม่ใช่ค่ะ  แถวดิฉันอยู่ตรงนี้ค่ะ" พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ

     หล่อน         "คุณเดินมาจากตรงโน้นใช่หรือไม่" เสียงหล่อนตะคอกอีกครั้ง คราวนี้ลงน้ำเสียงหนักกว่าเก่า

     ผู้เขียน         "ใช่ค่ะ ดิฉันเอาขยะไปทิ้ง เกรงว่าด้านในจะไม่มีที่ทิ้งขยะค่ะ" เมื่อพูดเสร็จผู้เขียนได้ท่องคาถาบูชาพระรัตนตรัยในใจ เพื่อสงบสติของตนเองซึ่งได้ผลดีมาก เพราะผู้เขียนยังสามารถส่งยิ้มให้หล่อนได้แบบจริงใจ

     หล่อน          ถึงกลับอึ้งและเงียบไปสักพัก (แหมคุณเธอใช้คำถามไม่ถูกต้องและไม่ได้ถามแบบมีเหตุมีผลเลยนี่ จะบังคับให้ผู้เขียนตอบว่าเดินลัดแถวคนอื่นมันไม่ใช่นี่น่ะ ตัวผู้เขียนเองยิ่งเป็นคนชอบความยุติธรรมและความถูกต้องมาก ๆ ชะด้วยซิ)

     หล่อน           "อ่านกฏหมายสหรัฐด้านหน้าให้เข้าใจ"  หล่อนตะคอกมาอีกทีแต่คราวนี้ น้ำเสียงดูดีกว่าสองคราวแรกมาก ๆ  (ค่่ะ) ผู้เขียนเติมค่ะให้หล่อนในใจเพราะหล่อนพูดไม่มีหางเสียงเลย แถมสีหน้าหล่อนไม่มีวิญญานด้วยค่ะ กฏหมายสหรัฐที่เขาพิมพ์ติดไว้ข้างฝา ก็เหมือนกับขู่ว่าถ้าคุณโกหก เอกสารเท็จ ฯลฯ เจอข้อหาหนัก อันนี้ผู้เขียนศึกษามาหมดแล้วเลยอ่านแบบเข้าใจเร็วขึ้น

     หล่อน            "สแกนนิ้วมือ 10 นิ้ว" หล่อนออกคำสั่ง

     ผู้เขียน           รีบจัดการสแกนมือซ้าย 4 นิ้ว ตามด้วยมือขวา 4 นิ้ว และหัวนิ้วโป้งซ้ายขวาทั้งสองนิ้ว ตามที่หล่อนสั่งทันที

    หล่อน             "คุณเคยเปลี่ยนชื่อหรือไม่"

    ผู้เขียน            "ไม่เคยค่ะ ใช้ชื่อนี้มาแต่เกิด" แต่หล่อนยังย้ำถามมาตั้ง 4-5 ครั้ง ผู้เขียนก้อยืนยัน (ปรากฏว่าผู้เขียนพึ่งมาถึงบางอ้อว่าทำไมหล่อนต้องย้ำถามถึง 4-5 ครั้ง เพราะชื่อภาษาอังกฤษผู้เขียนกรอกสมัครทาง Internet ไม่ตรงกับ Passport ที่จริงปกติชื่อผู้เขียนจะสะกดว่า "Niparat"  แต่เวลาไปทำบัตรประจำตัวประชาชนกับ passport เครื่องคอมพิวเตอร์มันจะสะกดชื่อเราอัตโนมัติเป็น "Nipharat" ผู้เขียนเคยชินแต่แบบที่ไม่มีตัว  "h" สังเกตเห็นหล่อนพิมพ์อะไรไม่รู้ ต๊อกแต๊ก ๆๆๆๆ อยู่ตลอดเวลา พึ่งมาเข้าใจทีหลังว่า หล่อนแก้ไขใบสมัครสะกดชื่อผู้เขียนให้ตรงกับ passport นึกขอบคุณหล่อนทีหลังและรู้สึกผิดที่ไปมีความคิดอคติกับหล่อนว่า "หน้าหล่อนไม่มีรอยยิ้มและพูดไม่มีหางเสียง แถมน้ำเสียงกระด้างมาก" ผ่านเรื่องชื่อไป มาถึงเรื่องนามสกุล

     หล่อน              "ใครสมัครให้คุณ"

     ผู้เขียน             "สมัครเองค่ะ

     หล่อน              "คุณเคยเปลี่ยนนามสกุลไหม"

     ผู้เขียน             "เคยค่ะ  ....................."

     หล่อน              "คุณไม่ได้กรอกข้อมูลนามสกุลเดิม ให้เขียนนามสกุลเดิมที่คุณเคยใช้"

     ผู้เขียน             นึกในใจว่า เราพยายามหาช่องกรอกอยู่น่ะ แต่ในระบบไม่มีให้กรอกนี่นา ไม่เป็นไร ผู้เขียนจึงเขียนด้วยปากกา แล้วหล่อนก็รับไปกรอกให้ทาง Internet

    หล่อน                "ใครออกค่าใช้จ่าย"ให้คุณ"

    ผู้เขียน               "ออกเองทั้งหมดค่ะ แต่คนที่เชิญมา เขายินดีให้พักบ้านเขาฟรี"

    หล่อน                ยื่นบัตรคิว 030 ให้ผู้เขียน แล้วบอกว่าไปรอสัมภาษณ์ด้านใน

         นี่แค่ขั้นตอนสแกนนิ้วมือน่ะเนี่ย จะรอดไหมนี่ชักขี้เกียจชะแล้วสิ เพราะสังคมที่ทำงานผู้เขียน ครูบาอาจารย์พูดจาไพเราะ มีสัมมาคารวะและให้เกียรติผู้อื่น ผู้เขียนไม่เคยเจอหน่วยงานที่ไม่ให้เกียรติผู้มาติดต่องานขนาดนี้ เดินเข้าไปในห้องรอสัมภาษณ์ โฮ้ทำไมคนเยอะจัง มองเข้าไปในห้องเล็ก ๆ อ้าว.........คุณนายฝรั่งทั้งหลายยังไม่เสร็จสักคนเลยเหรอนี่ นั่งหน้าสลอน หน้าดำคร่ำเครียดกันทุกคน ผู้เขียนส่งยิ้มไปให้ทุกคนในห้อง บางคนก็ยิ้มตอบ บางคนก็เชิดใส่ ไม่เป็นไรเข้าใจๆๆๆ อิอิ

         ปรากฏว่าผู้เขียนมาตั้งแต่ตีห้า แต่ได้สัมภาษณ์ตอน 11.45 น.แถมได้แจ๊กพอต ช่องเลข 9  คนสัมภาษณ์เป็นฝรั่งสาวสวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สวยจนผู้เขียนจ้องหน้าเธอตลอดเวลาไม่กระพริบตาเลยล่ะ ผู้เขียนเลือกสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยค่ะ

     ฝรั่งคนสวย       ถามผู้เขียนเป็นภาษาไทย สำเนียงฝรั่ง เร็วมาก (ย้ำน่ะค่ะว่าเธอพูดเร็วมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ) ผู้เขียนรู้คำถามคำเดียวคือ .+*/-๑@#$^&..........ค่ะ

     ผู้เขียน            ขอโทษค่ะ ขอคำถามอีกทีค่ะ

     ฝรั่งคนสวย       .+*/!@##$^&*(.+*/-..................ค่ะ

    ผู้เขียน             เดาเอาว่าเขาน่าจะถามว่า "คนรับรองคุณเขาทำงานอะไรค่ะ"

    ผู้เขียน              เขาทำงานบริษัทค่ะ

    ฝรั่งคนสวย         เธอส่ายหัวไปมาเหมือนแขกอินเดียเวลาสนทนากันแล้วย้ำถามคำถามเดิม

   ผู้เขียน               ตอบเหมือนเดิม

   ฝรั่งคนสวย          ส่ายหัวแล้วเอามือกุมกระหมับ บอกว่า "ม่ายช่ายขา ฉานถามขุ๋นหว่า".....(ได้โปรดอ่านออกเสียงตามที่ผู้เขียน เขียนมาน่ะค่ะเพราะเธอถามแบบนี้จริง ๆ )

    ผู้เีขียน              "ขอโทษ ดิฉันคงจะตื่นเต้น จนฟังคำถามคุณไม่เข้าใจ รบกวนช่วยถามช้าๆ หน่อยได้ไหมค่ะ"    (แต่ในใจผู้เขียนคิดว่า โฮ้คุณพูดไทยสำเนียงฝรั่งแล้ว "รัวเป็นคั่วข้าวต๊อกแต๊ก ที่ใช้ทำบุญกระยาสาดนี่น่ะ" ใครจะไปฟังหล่อนพูดรู้เรื่องอ่ะ) พร้อมกับยิ้มยกใหญ่ให้กำลังใจเธอ แต่เธอไม่ยักกะยิ้มตอบแฮ่ะ คงเหนื่อยแต่เช้ามาแล้ว แต่ยังดีว่าเขาเป็นฝรั่งแต่หางเสียงมี "ขา" หรือค่ะทุกคำ ไม่เหมือนคุณเธอคนไทยที่จุดสแกนนิ้วมือเลย

   ฝรั่งคนสวย         "คาย... เชิญ...ขุ๋น...ไป...เที๋ยวขาาาาา" เธอพูดช้าลงเยอะมาก ผู้เขียนเริ่มฟังเธอรู้เรื่องแล้วล่ะ ไชโยยยยยยยยยยย

   ผู้เขียน              "Mr. ..........ค่ะ"

   ฝรั่งคนสวย         "เข๋า...แต๋งงาน...หยั๋งขาาาาาาาาาา"  (ดีน่ะที่เธอเรียงประโยคถูกไม่ยักกะถามว่า เขาแต่งงานขาหยั๋ง ไม่งั้นเป็นเรื่องเลยน่ะนี่ ผู้เขียนยิ่งเส้นตื้นชะด้วยสิ 5555++) ปรากฎว่าเธอสนใจแต่ข้อมูลคนรับรอง ไม่ยักกะสนใจข้อมูลผู้เขียนเลยแม้แต่นิด เมื่อผู้เขียนตอบเธอจนเป็นที่พอใจแล้วเธอถึงวกมาถามเรื่องผู้เขียน

  ฝรั่งคนสวย             ..........ขุ๋นมีลูกกี๋คนขา

                            ...........ชุ๋นเคยไปเที่ยวประเทศไหน๋มาบ้างขา 

  ฝรั่งคนสวย            "ขุ๋น..ไป..เทียว ทำ..มาย..ไป..นาน..จังขาาาาาาาาา" ***หมายเหตุผู้เขียนไม่ได้พิมพ์ผิดน่ะค่ะ ได้โปรดอ่านสำเนียงตามที่ผู้เขียนพิมพ์มา เธอพูดแบบนี้จริง ๆๆๆ

  ผู้เขียน                  "เพราะดิฉันคิดว่า ตั๋วเครื่องบินราคาแพง ดิฉันออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด จึงอยากไปให้คุ้มอีกอย่างต้นสังกัดดิฉันเขาอนุญาตให้ดิฉันไปต่างประเทศได้ถึง 1 เดือน ดิฉันจะลากิจอีก 2 สัปดาห์   (ถึงตอนนี้เธอรีบเปิดดูเอกสารจาก สพฐ.เปรียบเทียบกับฉบับภาษาอังกฤษที่ท่านรองฯ ประมวลได้เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องทันที เธอเปิดดูกลับไป กลับมาหลายเที่ยวเลยค่ะ)

          ผู้เขียนไม่เปิดโอกาสให้เธอซักเลยและรีบอธิบายต่อทันทีว่า......บริษัทที่เชิญมาเขาจะพาดิฉันไปพิพิธภัณธ์และสวนป่า ดิฉันจะไปเก็บข้อมูลมาเขียนหนังสือให้เด็กด้อยโอกาสอ่าน เพราะดิฉันทำงานเกี่ยวกับเด็กยากจนและด้อยโอกาส เด็กพวกนี้ไม่มีโอกาสได้ออกไปเห็นโลกภายนอก และไม่มีเงินซื้อหนังสืออ่าน ดิฉันทำหนังสือแจกเด็กฟรีค่ะ อยากให้เขารู้ว่าประเทศของคุณเจริญก้าวหน้าแค่ไหน" .......... แน้โดนผู้เขียนหยอดด้วยคำหวานชะแล้วสิ เรื่องจิตวิทยาในการพูดโน้มน้าว ผู้เขียนกินขาดอยู่แล้วค่ะ

           ผู้เขียนพูดชะยาว และเธอก็ไม่ขัดจังหวะการพูดของผู้เขียนเลยน่ะค่ะ เธอเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์และตั้งใจฟังผู้เขียนอธิบายดีมากค่ะ พอผู้เขียนพูดจบ เธอยิ้มให้ผู้เขียนนิดหนึ่ง ผู้เขียนรู้ได้ทันทีว่า visa ผ่านแน่ ๆๆ แต่คงจะได้สัก 1-3 ปีเท่านั้นเพราะผู้เขียนตอบคำถามข้อมูลเกี่ยวกับคนรับรองแล้วเธอส่ายหัวแบบแขกอินเดียอยู่ตลอดเวลาแถมยังทำหน้าเครียดตลอดเวลา

          เธอไม่ถามอะไรผู้เขียนอีกได้แต่พิมพ์อะไรไม่รู้ หน้าก็ไม่มองผู้เขียน มาถึงตอนนี้ผู้เขียนออกอาการตื่นเต้นนิดหน่อย และลุ้นว่าตกลงเธอจะให้ผ่านรึเปล่านี่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนมาขอ ผู้เขียนมีความคิดว่า ผ่านหรือไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร มีตั้งหลายประเทศที่จะให้ผู้เขียนไปเที่ยว รอสักพัก.........

          เธอยื่นกระดาษที่ผู้เขียนได้กรอกไว้ตั้งแต่เดินเข้ามาในรั้วสถานฑูตทีแรก และเธอบอกว่า

         "ให้เอาใบ๋หนี้ ปายยื๋นที๋ปายส่าหนี ข่าง...น๋อก จ๋ายเงิ๋น 75 บาด รอรับ Visa 3-5 วาน"

       ผู้เขียน          งงและอึ้งนิดหน่อย คิดว่าตัวเองฟังผิด แต่มั่นใจตรงที่ว่าเธอบอกว่า Visa เพราะเธอเป็นฝรั่งที่พูดคำว่า Visa ชัดมากๆๆๆ อิอิ

      ผู้เขียน          รีบพูดว่า "Thank you very much"  พร้อมกับยกมือไหว้เธอและยิ้มเต็มแก้มให้เธอ เธอเงยหน้ามองผู้เขียนและยิ้มตอบกลับมาทันที เธอยิ้มสวยมาก ๆ ค่ะ หน้าตาก้อสะสวยด้วยค่ะ เธอยึด passport ผู้เขียนไว้ด้วยค่ะ

      กลัีบมาอุดร รอแค่ 2 วัน ก็ได้รับ EMS ซองสีเหลืองที่เขาบอกให้ผู้เขียนซื้อไว้ ปรากฏว่าได้วีซ่าจนถึงปี คศ.2020 ผู้เขียนงง ๆๆๆ มานั่งบวกลบระหว่าง คศ.2010 คือปีนี้กับปี คศ.ที่วีซ่าหมดอายุ คือ คศ.2020 ยังไงก็เป็น 10 ปี ถึงเชื่อตาตัวเองว่า ได้วีซ่า 10 ปีจริง ๆๆ งานนี้ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ค่าเครื่องบินไป กทม.ค่าโรงแรม จิปาถะ หมดไปหมื่นกว่าบาท ได้วีซ่า 10 ปี ตกปีละ พันกว่าบาท คุ้มเกินคุ้มค่ะ ทีนี้อยากไปอเมริกาเมื่อไหร่ แค่จองตั๋วเครื่องบินก็ไปได้แล้วค่ะ****"หมายเหตุแต่คนละเรื่องกับ ด่าน ตม.เข้าประเทศเขาน่ะค่ะ บางทีบินไปถึงประเทศเขา หากเราเคยประวัติไม่ดีหรือคนในครอบครัวเราเคยทำอะไรเสียหายไว้ เขาตรวจพบไล่กลับทันที เขาไม่สนใจหรอกว่าเราจะนั่งเครื่องบินมาไกลขนาดไหนน่ะค่ะ เขาจะไม่ให้เข้าประเทศเขาเลย"

      อยากจะแนะนำคนที่จะไปอเมริกาว่า อย่าไปโกหกเขาน่ะค่ะ ให้พูดความจริงทั้งหมด เพราะเขามีหลักจิตวิทยาในการจับผิดสูงมาก ผู้เขียนสังเกตแค่การที่ผู้เขียนเดินไปทิ้งขยะ เขายังพยายามจับผิดเราเลย นี่ยังคิดเลยน่ะค่ะว่าถ้าหล่อนออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกแล้วมาพูดกับผู้เขียนอย่างนี้ ผู้เขียนจะอธิบายและโน้มน้าวให้หล่อนมีทัศนคติและมองโลกในแง่บวก เพื่อที่หล่อนจะได้มีสุขภาพจิตที่ดีกว่านี้  อิอิ

     ที่สำคัญควรแต่งกายให้เกียรติสถานที่ เพราะนั่นหมายถึงดินแดนประเทศที่คุณกำลังจะเดินทางไป มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านขายอะไหล่รถยนต์ ไปเที่ยวยุโรปมาหลายประเทศแล้ว วันที่ผู้เขียนพบเธอไปสอบสัมภาษณ์พร้อมกัน เธอใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อลำลองตัวโคร่ง ที่สำคัญกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งเลยเพราะเธอดื่มมาทั้งคืน ยังไม่ได้นอน ปรากฏว่าเธอสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านค่ะ การที่คุณมีประัวัติไปเที่ยวมาทั่้วโลกไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้วีซ่าเข้าอเมริกาง่าย ๆ น่ะค่ะ เพราะอเมริกาเขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

       ต้องยอมรับว่า ระบบการคัดกรองของเขายอดเยี่ยมมาก ทีแรกผู้เขียนไม่รู้น่ะค่ะว่าเขาจับตามองเราตั้งแต่มารอคิวสอบสัมภาษณ์ข้างนอกแล้ว แต่ก็มีความรู้สึกด้วยสัญชาตญานว่า เหมือนมีคนจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลา พอเสร็จจากสอบสัมภาษณ์มายืนคุยกับพวกรักษาความปลอดภัย (มีแต่คนอีสานทั้งนั้นค่ะเว้าลาวใส่กัน เขาเลยกล้าพูดให้เราฟัง) พวกนี้จะขึ้นตรงกับ ยูเอ็น ค่ะ เขาบอกว่าจะมีกล้องวงจรปิดสังเกตเราทุกอิริยาบทและมีกล้องติดทุกจุดเลย

      อีกเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังคือ ระหว่างที่นั่งรอสัมภาษณ์ได้คุยกับสาวสวย 2 คน ทราบว่าเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินหนึ่ง มาขอวีซ่าอเมริกา น้องนางทั้งสองบอกว่า "หนูบินมาทั่วโลก พวกหนูไม่ต้องไปขอวีซ่าด้วยตนเองเลยน่ะค่ะ สายการบินเขาจะจัดการให้หมดทุกคน แต่สำหรับอเมริกาพนักงานทุกคนต้องมาติดต่อและยื่นขอวีซ่าด้วยตนเอง เป็นประเทศเดียวในโลกค่ะที่ต้องมาขอด้วยตนเอง"

        ทุกท่านสามารถย้อนกลับไปอ่าน ขอวีซ่าอเมริกา ตอนที่ 1 ได้ที่ http://gotoknow.org/blog/niparat/405415   และตอนที่ 2 ได้ที่ http://gotoknow.org/blog/niparat/405420 

      ขอให้โชคดีทุกท่านน่ะค่ะ หากมีข้อสงสัยโพสต์คำถามไว้ได้น่ะค่ะ ผู้เขียนยินดีตอบทุกข้อคำถามค่ะ โชคดีน่ะค่ะ

นิภารัตน์  วงษ์วิชา

นักวิชาการศึกษาชำนาญการ

สพป.อุดรธานี เขต 3

31 ตุลาคม 2553

หมายเลขบันทึก: 405578เขียนเมื่อ 31 ตุลาคม 2010 09:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 11:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)
ศิริวรรณ มาตรเลี่ยม

เจ๊น้องคะ++ ขอบคุรมากๆนะคะ เป็นข้อมูลที่ดีมากๆเลยค่ะ

เรียน อ.ศิริวรรณ

ด้วยความยินดีค่ะ ไปเที่ยวกลับมาแล้วจะเขียนเล่าประสบการณ์ให้ฟังน่ะค่ะ เพราะวางแผนจะทำเป็นรูปเล่มไว้แจกนักเรียนในสังกัด สพป.อุดรธานี เขต ๓

ขอบคุณ คุณ นิภารัตน์มากค่ะ ที่ได้มาเล่าประสบการณ์นี้ให้ฟัง เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากๆเลยค่ะ ^^

เรียน คุณ Apple

ด้วยความยินดีค่ะ หัวใจสำคัญของการขอวีซ่าเข้าอเมริกา คือ "อย่าโกหก" ให้พูดความจริงทุกเรื่อง และมีคำกล่าวว่า ถ้าเราสามารถขอวีซ่าเข้าอเมริกา ยิ่งได้ 10 ปี นี่ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเราสามารถขอวีซ่าไปประเทศอื่นได้ทั่วโลกค่ะ เพราะมาตราฐานการคัดกรองคนเข้าประเทศเขาสูงมาก ๆ ประเทศอื่นเลยให้ความเชื่อถือวีซ่าอเมริกาค่ะ ขอให้โชคดีน่ะค่ะ

ขอบคุณที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ คุณนิภารัตน์ คือเปิ้ลจะไปเยี่ยมคุณน้าที่รัฐฟลอริด้าค่ะ คุณน้าแต่งงานมีสามีเป็นอเมริกันอยู่ที่นู้นได้ 20 กว่าปีแล้วน่ะค่ะ เปิ้ลวางแผนจะไปช่วงเดือนเมษายนปีหน้าที่มีวันหยุดเยอะๆ น่ะค่ะ แล้วจะเริ่มทำขั้นตอนที่1 (ตามที่คุณนิภารัตน์แจ้งไว้ ^^ ) เดือนหน้า คืออยากจะเรียนถามคุณนิภารัตน์ว่า เปิ้ลควรจะขอหนังสือรับรองจากทางคุณน้าได้เลยไหมคะ หรือว่ากรอก DS ก่อนดี แล้วDS นี่เราสามารถ ปริ้นแล้วมาเขียนร่างก่อนที่จะกรอกในเนตได้ไหม รบกวนคุณนิภารัตน์ให้ข้อมูลด้วยค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ ^_^ เปิ้ล

เรียน คุณ Apple

ขออนุญาตตอบเป็นข้อ ๆ น่ะค่ะ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น

1.ควรกรอก DS-160 และให้น้าทำหนังสือรับรองมาพร้อมกัน เพราะ

1.1 DS-160 ไม่สามารถ Print แบบฟอร์มออกมาได้ต้องกรอกแล้ว Save เป็นระยะ ๆ แล้วค่อยเอา File มา Update แก้ไขข้อมูลเอา จะสะดวกกว่า

1.2 จองวันสัมภาษณ์ จะยากมาก ๆ ใช้เวลาจองนาน 2-3 เดือน เพราะตอนนี้ครูน้องกำลังทำให้เพื่อนอยู่ก้อยังทำไม่ได้ แต่กรณีครูน้องโชคดี ฉลุยทุกเรื่อง ยกเว้นโดนไปรษณีย์ไทยโกงส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เสียความรู้สึกมาก ๆ ค่ะ

1.3 หนังสือเชิญควรให้มลรัฐ Florida Stamp รับรองจะ Made Sure มาก ๆ ค่ะ ของครูน้องเพื่อนอยู่ LA ค่ารับรองประมาณ +10 US ค่ะ และควรให้น้าส่งมาทางไปรษณีย์เก็บซองแนบไปโชว์เขาวันสัมภาษณ์ด้วยน่ะค่ะ

2. ถ้าเป็นโสด ยากมากที่จะได้วีซ่าค่ะ ยิ่งเคยมีเครือญาติหนี Tax (หนึวีซ่า ไปแล้วไม่กลับออกมา) เขาตรวจสอบเจอหมดค่ะ ยิ่งหมดสิทธิ์เลยค่ะ

3. ควรเตรียมหลักฐานที่แสดงว่าเรามีความผูกพันกับประเทศไทย ไปแล้วกลับมาแน่ ๆ อาทิเช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ธนาคาร หนี้ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ

ปล.ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนครูน้องได้สามีเป็นเจ้าพ่อชื่อดังในเมืองไทยมีเงินฝากในธนาคาร +700 ล้านบาท แต่ขอวีซ่าอเมริกาไม่ผ่าน อีกกรณีเพื่อนเป็นครูเหมือนกันแต่งงานกับคนอเมริกัน จดทะเบียนถูกต้องทั้งสองประเทศ ปรากฏว่าขอวีซ่าได้แค่ปีเดียว เพื่อนเขาพากันงงมาก ๆ ว่าทำไมครูน้องได้วีซ่าตั้ง 10 ปี คงเป็นเพราะลักษณะงานที่ครูน้องทำกับเด็กด้อยโอกาสเด็กขาดแคลน เป็นข้อมูลที่เขาตรวจสอบได้ใน Internet ค่ะ (ดูได้จากบทความที่ครูน้องเขียนไว้น่ะค่ะ)

ทุกอย่างไม่ได้เป็นสูตรตายตัวน่ะค่ะ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลาย ๆอย่าง หากคุณเปิ้ลอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมยินดีน่ะค่ะ ติดต่อได้ที่ Email [email protected] หรือโทร 081-717 6078

ขอให้โชคดีน่ะค่ะ

ครูน้อง

ขอบคุณมากค่ะครูน้อง ที่ให้ข้อมูลในครั้งนี้ค่ะ มีประโยชน์มากๆ จริงๆ ค่ะ เปิ้ลจะนำคำแนะนำของครูน้องไปใช้ค่ะ ^^ ตอนนี้ที่เป็นกังวลคือเปิ้ลเป็นโสดอายุก็ยังไม่ถึง 30 ด้วย ค่ะ เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดเหมือนครูน้องนะคะ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร^^ เที่ยวบ้านเราก็ได้ เปิ้ลอาจจะต้องรบกวนครูน้องอีกครั้งทางอีเมลน่ะคะ เผื่อต้องการข้อมูลบางอย่างเพิ่ม เปิ้ลไม่รู้จะตอบแทนครูน้องยังไงดี แต่พอจะทราบเรื่องครูน้องเป็นครูให้เด็กด้อยโอกาส ถ้าคุณครูน้องต้องการสิ่งใดเพิ่มจากกรุงเทพก็ติดต่อมาได้เหมือนกันนะคะ ที่ [email protected] ค่ะ

สุดท้ายนี้ขอให้ครูน้องมีสุขภาพ แข็งแรงนะคะ

เปิ้ลค่ะ ^ ^

เรียน คุณ Apple

ด้วยความยินดีค่ะ มีปํญหาอะไรปรึกษาได้ทางอีเมล์น่ะค่ะ เพราะก่อนครูน้องจะไปขอวีซ่า ครูน้องทำการบ้านไว้เยอะมาก จึงพอรู้ทางหนีทีไล่ ขอให้คุณเปิ้ลโชคดีน่ะค่ะ

ครูน้อง

ได้อ่านข้อความยินดีกับพี่นะค่ะ อาจจะช้าไป แต่ที่อาจเหมือนพึ่งรู้สึกไม่นาน

ขอเล่าเรื่องของตัวเองนะค่ะ เป็นสิ่งที่บั่นทอนต่อชีวิตและความรู้สึกของปูตลอดเวลา

ปูเคยขอวีซ่าอเมริกา เมื่อปี2006 ตอนนั้นเอเจนซี่ทำให้ และไม่มีการดุข้อมูลรายละเอียดต่างๆของสถานฑูต ปูคิดว่าจะของ่ายปูไปสัมภาษณ์ ตื่นเต้นมากถ้าถามตอนนี้จำได้ใหมเขาถามอะไรบ้างแทบจำไม่ได้เลย

ปูมีร้านอาหารกึ่งบาร์เล็กๆ ที่พัทยา เราโชว์บัญชี ร้านอาหาร

และตามที่คุณบอกต้องพูดความจริงปูไม่ทราบว่าพูดเรื่องจ่ายค่าบาร์หรือไม่ คุณฟังอย่างนี้ คงจะยากที่เขาจะให้ผ่าน หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ วีซ่าไม่ผ่านและยื่นกระดาษ1แผ่นให้และกาช่อง1 หลังจากนั้นปูเข้าใจว่าเอกสารไม่พร้อม เขากลัวว่าจะไม่กลับมา

ปี 2011 ปูไปขออีกครั้งหลังจากรุ้จักกับสามีมา2 ปีและเราแต่งงานกันเดือนพฤษภาคม2011 สามีทำงานที่เมืองไทยเอกสารครบ เวิร์คเพอมิค จดหมายรับรอง จาก พ่อกับแม่ เราแค่ต้องการไป 3 อาทิตย์ พอดิฉันเข้าสัมภาษณ์ ผู้ชายฝรั่ง กล่าวทักทาย

ถามว่าไปทำอะไรที่อเมริกาใ

ตอบ ไปเยียมพ่อแม่สามี และ ท่องเที่ยว

สามีคนไทย/ ไม่ใช่เป็นอเมริกัน ปูโง่เองไม่ได้บอกว่าสามีทำงานที่ไทย แต่เขามีจดหมายของสามีรับรองอยู่แทบไม่ได้อ่านเลย

คุณเคยขอวีซ่าใช่ใหม

ใช่ค่ะตอนปี 2006 เขาถามเพราะอะไรไม่ผ่าน ปู บอกว่าหลักฐาน เอกสารไม่เพียงพอโชว์ทางสถานฑูต ค่ะ เขาบอกว่า ในนี้เขาเขียนว่าคุณมีร้านที่พัทยาและมีการจ่ายค่าบาร์ 500 บาท

โอโห็ คุณหัวใขปูตกลงตาตุ๋มทำไมเขาเขียนร้ายแรงขนาดนั้นแต่ยัตั้งสติได้นิดหนึ่งยังมีโอกาศได้พูด ปูว่าปูมีร้านจริงขายอาหารและเครื่องดื่ม แต่ไม่มีการพูดถึงเรื่องการจ่ายค่าบาร์เลย แล้วเขาถามว่าคุณทำอะไรที่ร้าน ปูบอกว่า ทำอาหารและขายเครื่องดื่ม

คุณรู้ใหมถ้าวันนั้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วเขาบอกมาอย่างนี้ปูคงจะเตรียมตัวเตรียมเอกสารมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองถึงมันจะแทบเป็นไปไม่ได้ก็ตามถ้าเราไม่สู้ก็จะไม่รู้จักคำว่าชนะ เขาถามว่าเจอกับแฟนเมื่อใหร่ ปู ปบอกปี 2008 แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร ไม่มีสมาธิ ที่จะสนธนาแล้วค่ะ เจอกันที่ใหน ปู บอกว่าเกาะเต่า ชุมพร สามีไป ปีนหิน ที่นั้นจะมีหินเยอะสำหรับนักกีฬาปีนหิน

ขอโทษและไม่สามารถออกวีซ่าได้ ปูถามว่ายื่นใหมได้ใหมค่ะ เขาบอกยาก

สามีปูเขาตั้งใจจะอยู่เมืองไทยตลอดไปแค่อยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่

เราเลยไม่ขอวีซ่าแต่งงานถ้าขอแล้วก็ไม่รู้จะผ่านใหม

เป็นเรื่องที่เศร้ามากสำหรับครอบครัวของเรา สามีบอกว่าถ้าเข่ากลับไปเที่ยวหรือไปเยี่ยวพ่อแม่คนเดียวลึกในใจเขาก็ยังเศร้าที่ไม่มีเราไป แล้วอย่างนี้จะมีความสุขได้อย่างไร และปูมีลูกลูกได้ไปกับสามีมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากปูเขียนอยู่ นึกถึงทีไรร้องให้ทุกที สามีไปทำงานก็อดคิดเรื่องนี้ไม่ได้

ปูไม่รู้จะทำยัไงต่อไปหรือจะเขียนจดหมายอธิบายไปต่อสถานฑูต แต่เขาแทบไม่อ่านจดหมายอะไรเลย ปูไม่ได้ทำร้านนี้แล้วตั้งแต่ปี 2006 ตอนนี้ขายของชำในกรุงเทพใต้ตึก คุณพอจะมีคำแนะนำต่อปูไหมค่ะ ตอนนี้มืดแปดด้านเลย คุณบอกว่าทางสถานฑูตทำงานขึ้นตรงกับ ยูเอ็น ปูแลัสามีเขียนร้องเรียนเรื่องนี้ได้ใหมค่ะส่งไปที่ ยูเอ็น เพื่อเรียกร้องสิธิมนูษยชน สิทธิทางครอบครัว

สงสารสามี และพ่อแม่สามี เขาไม่รู้เรื่องอะไรเป็นความผิดของปูเอง และเป็นความโง่เง่าของตัวเอง บางทีอยากจะเลิกกับสามีสงสารเขาที่ไม่สามารถพาภรรยาไปเยี่ยมบ้านเกิด แคร์ความรู้สึก ถ้าเลิกแล้วเขาเจอคนใหม่คงจะไม่มีปัญหาเหมือนปูและไปง่ายเขาอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ แต่สามีบอกว่าไม่เป็นไรมีหลายประเทศที่เราไปเที่ยวได้ แต่ปูรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับประเทศของเขา ถ้าปูไม่ได้แต่งงานกับเขา ก็คงไม่รู้สึกอะไรมากถ้าไม่ได้อเมริกาก็ไม่เป็นไร แต่เราเป็นภรรยาของคนประเทศเขา สถานะเปลี่ยนไป

และอีกอย่างถ้าวันนั้น ปี2006 ทางสถานฑูตบอกเหตุผลกับข้าพเจ้าว่า ที่ไม่ผ่าน เพราะ มีร้านที่พัทยาและมีการจ่ายค่าบาร์ 500 บาท ตอนที่คบกับแฟนคงจะบอกว่า)ูมีเศสอย่างนี้ ยากที่จะเข้าอเมริกา เขาโอเคใหม เผื่ออนาคต แต่เราไม่รู้เลยจนหลังจากแต่งงานต้องมาเจอแบบนี้ ทางสถานฑูตเขาไม่ให้โอกาศปูเลน ขอขอบคุณที่กรุณาอ่านจากระบายด้วยนะค่ะ

ใครได้อ่านเจอเคศคล้ายๆกันหรือมีคำแนะนำดีๆ ช่วยด้วยนะค่ะ [email protected]

การไม่โกหกเป็นสิ่งที่ดี แต่มันจะกลับมาฆ่าตัวเองได้

ที่ผ่านมาทำให้ปูเรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ทุกอย่างจ้องมีหลักฐาน เอกสาร แม้จะผ่านไป10 ปีแล้วก็ตาม การพูดด้วยวาจาเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

"คุณบอกว่าทางสถานฑูตทำงานขึ้นตรงกับ ยูเอ็น ปูแลัสามีเขียนร้องเรียนเรื่องนี้ได้ใหมค่ะส่งไปที่ ยูเอ็น เพื่อเรียกร้องสิธิมนูษยชน สิทธิทางครอบครัว"

เรียน คุณปู

           อันดับแรกขอแสดงความเสียใจด้วยน่ะค่ะ ขอแยกตอบเป็นประเด็นน่ะค่ะ

1. ที่คุณปูบอกจะไปเรียกร้องสิทธิมนุษย์ชน สิทธิครอบครัว ในความคิดครูน้องคิดว่า คุณมีสิทธิทำได้ แต่การที่เจ้าบ้านจะให้ใครเข้าบ้านเขาหรือไม่ มันเป็นสิทธิของเจ้าบ้านคือ เจ้าของประเทศน่ะค่ะ

2. ประเทศไทย .....จะโด่งดังกับอาชีพบางอาชีพที่ฝรั่งเขาจะเฝ้าระวังมาก ๆ

3. ทำไม ...ไม่ลองให้พ่อ แม่สามีมาเที่ยวเมืองไทยล่ะค่ะ เงินทองเข้าประเทศ เขามาเจอ วัฒนธรรมเรา และความอบอุ่น ...ยิ่งลูกสะใภ้คนไทยที่พ่อแม่สอนมาว่า  ..."ทำกับพ่อแม่ตัวเองดีแค่ไหน...ขอให้ปฏิบัติกับพ่อแม่สามีดีเท่ากัน"  (อันนี้เป็นคำอวยพรที่แม่ของครูน้อง ให้พรตอนเข้าพาขวัญ น่ะค่ะ".........รับรองว่า พ่อ แม่ สามี จะติดใจลูกสะใภ้คนไทย และมาเยี่ยมทุกปีแน่ ๆ

4. คุณปูขอไม่ได้ ก้อไม่ต้องเสียใจน่ะค่ะ ต้องยอมรับ กฏ กติกาของประเทศเขา

5. เดี๋ยวนี้อเมริกา ไม่ค่อยน่าไปสักเท่าไหร่หรอกค่ะ เศรษฐกิจเขาแย่มาก ๆ ตอนต้นปี 2554 คนตกงาน 15 ล้านคน แต่เดือนสิงหาคม 54 ห่างกันแค่  8 เดือน คนตกงานเพิ่มเป็น 20 ล้านคน

6. เงินค่าบาร์ 500 บาท คุณปูอธิบายไม่ชัดเจน แต่ครูน้องตีความน่าจะเป็นเงินใต้โต๊ะ ....อันนี้ยิ่งลำบากใหญ่เลยน่ะ ฝรั่งเขาถือมาก ๆ เรื่องคอรัปชั่น

7. ถ้าคุณปูยืนยันว่าอยากไปจริง ๆ ลองดูน่ะค่ะ

     7.1 รูปแต่งงานพิธีไทยของเราระหว่าง สามี+เรา

     7.2 รูปครอบครัว เรา สามี+เรา+ลูก เวลาเราไปเที่ยวหรืออยู่บ้านร่วมกัน

     7.3 รูป ร้านค้าที่เราทำกิจการ

     7.4 บุคลิกภาพของเราก้อเป็นสิ่งสำคัญน่ะค่ะ

ขอเอาใจช่วยค่ะ

ครูน้อง

สวัสดีค่ะIco48 อ่านไปหัวเราะไป เป็นคนอารมณ์ดีนะคะ

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

เรียน ท่าน ดร.พจนา

ขอบคุณค่ะที่ชอบ ........ก็เล่าจากประสบการณ์จริง บางทีมันก็ออกเปิ่น ๆ อย่างที่ท่านขำ ๆ นั่นแหล่ะค่ะ

ครูน้อง

ขอระบบ้างนะคะ เป็นพยาบาลเคไปสหรัฐดวยวีซ่าท่องเที่ยวเมื่อ1997 เป็นเวลา2อาทิตย์ เพราะตอนนั้นมีแฟนเป็นคนไทยไปเรียนโทที่นิวยอร์ก วันที่เขาจบเราเพื่อร่วมงานรับปริญญาและจดทะเบียนที่สถาทูตไทยในนิวยอร์ก สัมภาษณ์คราวนั้นผ่าน ได้วีซ่าง่ายมาก เราไปและกลับตามเวลาที่กำหนด เหตุการณ์ในชีวิตผ่านไปจนเราต้องหย่ากับสามีคนไทย จดทะเบียนหย่าที่เมืองไทย เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงจนวันหนึ่ง มีหมอดูทักว่าจะมีเนื้อคู่เป็นคนต่างชาติ เราจึงเข้าไปสมัครdateing programสนุกๆ แค่คิดว่าถ้าเขาอยุ่อีกซีกโลกแล้วจะเจอเราได้ไง ถ้าเราไม่พึ่งไอ้โปรแกรมเนี้ย ในปี2007 เราก้อเจอเขาเป็นดอกเตอร์ แรกๆคุยกันแบบเพื่อน เพราะเขามีผู้หญิงไทยหลายคนและเราก้อมีแฟนเป็นวิศวกร แต่ด้วยชะตาฟ้าลิขิต เกิดเหตุการณ์หลายอย่างระหว่างเราสัมพันธภาพเปลี่ยน จนสุดท้ายเขามาหาเมื่อ เม.ย2009 และตกลงเป็นแฟนกัน ด้วยว่าเรามีธุรกิจจัดพยาบาลไปประจำตามโรงงานรายได้ราว30,000บาท/เดือน และเป็นพยาบาลบริษัทเงินเดือนราว 40,000บาทกว่า/เดือน ด้วยเหตุนี้เราถึงคิดว่า เราไม่รีบทิ้งถิ่นฐานไปอยู่กะเขาด้วยการทำวีซ่าคู่หมั้นเพราะเท่ากับมัดมือชกให้ตกงาน และยังไม่รู้ว่าเมื่อไปแล้วเราจะอยู่ได้ไหม เขาเองก้อแค่อยากให้เราไปเยี่ยมและลองดูสิว่าจะปรับตัวอยู่ที่นั่นได้ไหม (เราทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่เขา 61ปี เรา43ปี ในขณะนั้น ดังนั้นคิดอะไรก้อควรรอบคอบ และไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจ)เมื่อไปขอวีซ่าท่องเที่ยว คุณฝรั่งหญิงที่สัมภาษณ์ถามอยู่7-8คำถาม จะไปอเมริกาทำไม เราบอก"ไปเยี่ยมmr...." เธอถาม"เขาเป็นใคร" เราบอก"เขาเป็นแฟน" เธอถามย้ำแอนด์ซ้ำว่า "friend or boyfriend" เราไม่ใช่คนโกหกก้อตอบว่า"แฟน" เธอถามว่าเจอกันยังไง เราบอก"อินเทอร์เนตเดทติ้งโปรแกรม" เขาถามต่อว่า"เจอกันมานานเท่าไหร่" เราบอก"เกือบ2ปี" เธอถามต่อ"เขามาหาไหม" เราบอก"มา" เธอถาม"กี่ครั้ง" เราบอก"1ครั้งและตอนนี้เขาอยากให้เราไปเยี่ยมเขาเพื่อขอบคุณ ที่ตอนเขามาเมืองไทยครอบครัวของเราให้การต้อนรับเขาอย่างดี" เธอบอก"วีซ่าเราไม่ผ่านด้วยเหตุผลว่าเราไม่มีคุณสมบัติทีจะทิ้งสหรัฐเมื่อครบเวลากำหนด....." คาดว่าใครเคยโดนข้อหานี้ คงพอทราบว่าเจ็บปวดขนาดไหน ในขณะที่ตอนนั้นมีหนังสือรับรองการทำงานจากบริษัทป็นภาษาอังกฤษ(เพื่อให้เธออ่านออก)ว่าทำงานมา16ปี(แสดงความมั่นคงของการทำงาน) ตำแหน่งหน้าที่อะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ลาพักร้อนตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่ รวมทั้งบุคแบงค์และใบรับรองจากธนาคารว่ามีเงินหลักล้าน โฉนดบ้าน2หลัง ไม่ติดภาระจำนอง หนังสือรับรองบุตรอยุ่ในความดูแลและอื่นๆที่แสดงได้ว่าเราต้องกลับประเทศไทยแน่นอน แต่คุณแหม่มเธอไม่ขอดูอะไร นอกจากถามเท่าที่บอกข้างบนแล้วบอกไม่ผ่าน แบบ งงๆ เหอะ เหอะ

เรียน คุณคนตรง

ดูจากข้อมูลส่วนตัว คุณน่าจะผ่านน่ะค่ะ เพราะเอกสารที่ครูน้องเตรียมไป ก็ประมาณที่คุณมี โฉนดที่ดิน หนี้บัตรเครดิต หนังสือรับรองเงินในบัญชีจากธนาคาร แต่ต่างกันที่ ครูน้องเคยไปเที่ยวมาหลายประเทศ ไม่เคยเข้าอเมริกา กับงานที่ทำเป็นงานที่ทำเพื่อเด็กด้อยโอกาสและขาดแคลน .......ต้องยอมรับว่าเขาเข้มงวดมาก ๆ เรื่องเข้าประเทศ ยิ่งหลังเหตุการณ์ 9 กันยายน 2001 ยิ่งยากค่ะ

<p>ใช่ค่ะ ทุกคนรวมทั้งแพทย์ ที่รู้จักเรา พอรุ้ว่าไม่ผ่าน ถามคำถามเท่าที่เขียนในข้างต้น ทุกคนอ้าปาก หวอ ตะลึงว่าเป็นไปได้ไง แต่ว่ามันคือ เรื่องมหัศจรรย์พันลึกกับการขอวีซ่าอเมริกา อะไรก้อเกิดขึ้นได้ ดิฉันไม่เคยตอบคำถามกุกกัก เพราะเป็นวิทยากรให้กับโรงงานหลายที่สอน first aid ดังนั้นอะไรก้อเกิดขึ้นได้กับการขอวีซ่าอเมริกา และครั้งนั้นทำให้ดิฉันเกิดความเข้าใจผิด งอนไป งอนมา เลยมีหญิงไทยอื่นมาแทรก แต่ว่าเธอก้อไปได้ไม่นานราว6 เดือนให้หลัง ชะตาฟ้าลิขิต เธอกลับมาอีกเพราะรุ้ใจตัวเองว่า รักเรา และเราเริ่มต้นเป็นเพื่อนกันใหม่ เธอขอร้องให้ไปขอวีซ่าอีกครั้ง และวีซ่าที่เหมาะสมและตรงไปตรงมาก้อคือ วีซ่าท่องเที่ยว เพราะวีซ่าคู่หมั้นดิฉันคิดว่า คนเราต้องเรียนรู้กันให้นานๆนะ เขารุ้เราและเราต้องรู้เค้าด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถจะปรับตัวซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นการขอวีซ่าครั้งที่2 (ไม่นับครั้งที่ได้รับเมื่อปี14 june 1997นะคะ) ดิฉันไปขอวีซ่าอีกครั้งด้วยหลักฐานแน่นหนาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ด้วยว่าเราเพิ่งเริ่มสถานะอย่างเพื่อน ดิฉันก้อเขียนในช่อง relationship ว่า friend เมื่อไปถึงก้อแจ็คพอตอีกเมื่อเจอคุณแหม่มถามว่า เป็นอะไรกัน ดิฉันตอบ"เป้นเพื่อน" เธอถาม"ทำไมคราวที่แล้วบอกเป็นแฟน" เราตอบว่า "หลังจากไม่ได้วีซ่า เรามีเรื่องเข้าใจผิดกันและเขามีผู้หญิงคนอื่น และเราเลิกกัน แต่สุดท้ายเขารู้ว่าเขารักเราและกลับมาขอเริ่มต้นใหม่ ดิฉันจึงคิดว่าเราควรเริ่มที่ความเป็นเพื่อน" เธอพูดว่า"ทำไมยังเอาเขาอีก" ดิฉันงงมาก กับคำถามของเธอดิแนจึงตอบว่า" มาดามขณะนี้ดิฉันเป็นเพื่อนกะเขา" และนึกในใจว่า เราเป็นหญิงไทยก้อจริงแต่เราก้อควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกลดความสัมพันธ์ หรือเริ่มความสัมพันธ์กับผู้ชายอเมริกันได้ เพราะเราถือว่าเราเองก้อมีศักดิ์ศรี ที่ดิฉันต้องบอกเช่นนี้เพราะ อ่านต่อไปค่ะจะได้คำตอบจากคำถามคุณแหม่ม เธอถามดิฉันว่า"จะพักที่ไหน" ดิฉันตอบ"พักที่......ก้อคือที่พักของเขา" เธอหัวเราะเหมือนเยาะ (ขอโทษถ้าดฺฉันคิดอคติ)แล้วพูดว่า "ไปพักที่พักเขา ไหนบอกเป็นเพื่อน" ดิฉันก้องง ในสมองคิด "ทำไมเพื่อน พักบ้านเพื่อนไม่ได้รึ ที่อเมริกาหน่ะ หรือเป็นวัฒนธรรมต้องห้าม หรือว่าผู้ชานอเมริกันระดับดอกเตอร์ที่รู้จักกันมาราว3ปีอาจจะใช้กำลังข่มขืนดิฉันได้" คุณแหม่มเธอช่างดูถูกผู้ชายชาติตนเองแท้ๆ หรือเธออาจจะรู้จริงก้อได้ แต่ยังไงดิฉันก้อแค่คิดนะคะแต่ไม่ได้พูดออกมา และสุดท้ายดิฉันก้อพูดว่า "ตอนที่เขามาเมืองไทยเขาพักที่บ้านดิฉัน เป็นบ้านเดี่ยวมีหลายห้อง ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเชิญดิฉันไปพักที่บ้านเขา" เธอถาม"คุณทำงานอะไร" พร้อมพลิกใบรับรองการทำงานที่บรรจุข้อมูลดังที่เคยบอกเป็นภาษาอังกฤษจากบริษัทแล้วพูดว่า "ไม่เข้าใจ ฉันไม่เข้าใจ" เนื่องจากดิฉันเป็นพยาบาลทำงานในส่วน ของHRM department และposition ของดิฉันคือ senior officer ดิฉันจึงอธิบายว่า ดิฉันเป็นพยาบาลทำงานในส่วนสวัสดิการพนักงาน ซึ่งก้อคือหน่วยงานHRM และกฎหมายไทยเมื่อมีนักงานทำงานในเวลาเดียวกัน200คน บริษัทต้องจัดให้มีพยาบาลและห้องพยาบาลเพื่อดูแลจัดการสุขภาพของพนักงาน เธอก้อยังเอาแต่พูดเกือบตะโกนว่า "ไม่เข้าใจ ๆๆๆ" ดิฉันคิดว่าเธออาจจะไม่เข้าใจภาษาไทยที่ซับซ้อน ดังนั้นดิฉันจึงพยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ และดิแนเชื่อค่ะว่าถ้าเธอไม่มีอคติ เธอน่าจะเข้าใจ แต่เธอก้อยังเอาแต่พูดว่า"ไม่เข้าใจ" เหมือนจะบอกดิฉันว่า เป็นพยาบาลจริงหรือเปล่าทำไมทำงานในโรงงาน ดังนั้นดิฉันจึงยื่นทรานสคริป์ของพยาบาลที่มีรายวิชาที่ดิฉันเรียนตั้งแต่ สูติศาสตร์ กายวิภาค อื่นๆเป็นภาษาอังกฤษให้เธอดู แต่สิ่งที่คนไทยอย่างดิฉันได้รับคือ มรรยาทที่ถ้าคนไทยทำต้องเรียกว่า "ทราม" เธอเอามือผลักทรานสคริป์ของดิฉันโดยไม่แลและพูดว่า "ฉันไม่ได้ร้องขอ" ดิฉันขำปนโมโหในใจ พร้อมคิดว่า เอาแต่ตะโกนว่า ไม่เข้าใจๆๆๆ แต่ไม่เบิ่งตาดูหลักฐานที่มันเป็นภาษาของชาติตัวเอง ก้อสมควรที่จะตะโกนอยู่แบบนั้น ใครในที่นี้รู้จักท่านกงศุลสหรัฐ ช่วยอธิบายท่านเป็นวิทยาทานหน่อยนะคะ จะขอบคุณมาก อย่าให้คนไทยมาด่าว่าท่านโง่ ไอ้พวกที่ไม่ควรผ่านได้ผ่าน ส่วนพวกที่ควรผ่านกลับไม่ได้ผ่าน และสุดท้ายเธอถามคำถามสุดท้ายว่า"ทำไมถึงอยากมีแฟนเป็นคนอเมริกันนัก" ดิฉันตอบ"มาดามดิฉันและเขาขณะนี้ยังคงเริ่มต้นที่ความเป็นเพื่อน" เธอถามย้ำคำเดิม ในขณะที่ดิฉันก้อตอบอย่างเดิม มันเรื่องอะไรที่ดิฉันจะต้องลดศักดิ์ศรีตนเอง เมื่อขณะนี้ความสัมพันธ์คือเพื่อน เขาไม่แน่ใจก้อโทรไปถามท่าน ดร.คนของเขาสิ ว่าเราลดสถานะเขาลงเป็นแค่เพื่อนจริงหรือเปล่า และถ้าคำตอบไม่ตรงกันค่อยมาตะคอกหรือตะโกนใส่เรา ด้วยคำถามเดิมๆว่า "ทำไมอยากมีแฟนเป็นคนอเมริกันนัก" และดิฉันก้อตอบเช่นเดิม เธอคงโมโห ที่ไม่ตอบดั่งใจที่เธอมีอคติกับหญิงไทยแบบดิฉัน และแน่นอนค่ะ ดิฉันไม่ผ่านอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดของคุณแหม่มว่า "คุณไม่ผ่าน ไปบอกให้เขาบินมาหายูที่เมืองไทย" ที่ดิฉันต้องการไปเยี่ยมเขา ด้วยเห็นว่าคนของเขา งานยุ่งและคิดถึงเรา เราเองก้องานยุ่ง แต่น้อยกว่า ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะบินไปหาเขา ค่ะและเมื่อ สิงหาคม2010 เขาบินมาหาดิฉันอีกครั้ง และขอร้องให้ดิฉันไปทำวีซ่าเพื่อเยี่ยมเขาอีกคร้งเป็นครั้งที่3 บางคนอาจคิดว่าทำไมไม่ทำวีซ่าคู่หมั้น ทีแรกเธอจะทำแต่พออ่านเงื่อนไขแล้ว มันยังรับไมได้ค่ะ เรารักกันก้อจริงแต่เรายังต้องการเวลาและดูกันให้แน่ใจ และดิฉันเองมีลูกสาว11ขวบที่นี เรายังไม่อยากทิ้งเขาไป ในสำนึกความเป็นแม่ ยังทำไม่ได้ค่ะ บวกกับงานของเราก้อยังดีค่ะ รายได้อยู่เมืองไทยได้แบบสบาย ดังนั้นเราจึงแค่อยากไปเยี่ยมเยียนเขา และเขามาเยี่ยมเรา แค่นี้เพียงพอแล้ว เร็วๆนี้ ดิฉันจะต้องไปขออีกเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้ยังไม่รู้จะลูกผีหรือลูกคน แต่คิดว่าถ้าครั้งที่สามนี้ ไม่ผ่าน สิ่งเดียวที่ควรจะทำคือ ทิ้งคนของเขาแหละค่ะ น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุด สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่จะไปขอวีซ่าสหรัฐทุกท่านนะคะ ดิฉันจะสู้เป็นครั้งที่สาม และคงไม่ทำมากไปกว่านี้เพราะสำหรับดิฉัน เมืองไทยคือที่ที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน เมื่อเราแค่จะเอาเงินของเราไปเที่ยวที่นั้น เขาไม่เอาเราก้อเก็บมันไว้ไปเที่ยวที่อื่น

ขอโทษค่ะพิมพ์ผิด เขาเพิ่งบินมาหาสิงหาคม 2011ค่ะ เดี๋ยวอ่านแล้วจะ งง เรื่องมันยาว

โทษทีนะคะ เพิ่งเข้ามาอ่านเจอบล๊อกของคุณ

ไปสัมภาษณ์วีซ่ามาเมื่อไม่นานนี่เอง ขอคอนเฟร์มว่าเจ้าหน้าที่คนไทยที่จุดสแกนนิ้วนั้นเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ

หน้าตาเธอก็จัดว่าเป็นคนสวยนะ แต่ไม่รู้เธอเป็นอะไร มีใครบีบบังคับให้เธอต้องทำงานนั้นหรือเปล่าน๊าา เฮ้อออ....

ฉันเอง  แหมดีใจจัง บทความนี้เขียนไว้ตั้ง 3 ปีที่แล้ว ยังสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับผู้อื่นจนทุกวันนี้/  คิดเสียว่าน้องคนสวย คนนั้น เค้าคงปวดฟันคุด น่ะค่ะ เอิ๊กกกกกก

 

ขอรบกวนถามนะคร้า..ว่า..การรอนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบคู่หมั่นใช้เวลารอนานกี่เดือนค่ะ..คือ..ดิฉันรอมาก้อเกือบครบ 3 เดือนแล้ว ยังไม่มีจดหมายจากทางสถาทูตมาสักที..แล้วแบบนี้จะผ่านไหมคร้า

พอดีมาอ่านข้อความนี้หลังจากได้ไปสัมภาษณ์วีซ่าเมื่อวานนี้เอง ส่วนตัวไม่เคยจดทะเบียนกับแฟนเก่ามีลูก 2 คนลูกอยู่กับเราผ่อนทั้งบ้านและรถ ประวัติการท่องเที่ยวมีไป ญี่ปุ่น พม่า เขมร มาแล้วภายในปีนี้ 3 ประเทศ เรายื่นเอกสารเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ จะเดินทางไปท่องเที่ยวและไปเยี่ยมแฟนด้วย เขาเป็นทหาร รู้จักกันประมาณ 8 เดือนที่ภูเก็ต ส่วนตัวเรามีอาชีพเป็นมัคคุเทศก์มาก่อนและเปิดบริษัททัวร์เป็นของตัวเองประมาณครึ่งปี รายได้ขั้นต่ำ 80.000 ต่อเดือน ถ้าเดือนไหนลูกค้าเยอะก็มากกว่า ส่วนแฟนเขาเป็นทหารและ ปีหน้าเขาก็จะเกษียณแล้ว ไม่เคยมีความคิดในหัวว่าจะไปอยู่โน้น เพราะคิดว่าเงิน 100.000-200.000 บาทถ้าอยู่ในไทยมันใช้ชีวิตสุขสบายกว่าอยู่โน้นอยู่แล้ว เขาไม่ได้ถามเรื่องว่าเราจะกลับมาไหม หรือถามเรื่องลูกว่าใครดูแล (ลูกใช้นามสกุลพ่อเขา) เครียดและเสียใจมากที่ไม่ได้กะว่าคริสต์มาสจะไปเที่ยวบ้านพ่อแม่เขา ไปดูบ้านเขาตอนนี้เริ่มเกลียดประเทศนี้ละ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท