ฟิล์ม รัฐภูมิ : เรื่องของเขาแต่เรามองอย่างชาวพุทธ ?
-เทียน ทองทา-
๒๕๐๐ ปีที่แล้ว
ฉันท้อง.....ปทุมวดีบอกอย่างสะท้าน และคาดหวัง
พระเจ้าพิมพิสารมองหน้าด้วยความฉงน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลังเล
พร้อมกับบอกว่า “ฉันหลั่งข้างนอก”
ปทุมวดี...สบตาและกล่าวอย่างประหวั่น “แต่เขาเกิดมาแล้ว”
ตายล่ะ....พระเจ้าพิมพิสารอุทานในใจและคิดอยู่ครู่หนึ่ง
พร้อมถอดธำมรงค์ประจำพระองค์ อย่างไม่มั่นใจ ส่งให้พร้อมกำซับว่าหากเป็นหญิงจงขายแหวนนี้เลี้ยงดูให้ดี
แม้นเป็นชายจงส่งไปหาเรา ที่ “ราชคฤห์”
หลายปีต่อมา เด็กชายอภัยได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารพร้อมแหวน ที่แม่มอบให้ก่อนมา
แหวน...คือสัญญาทางใจที่ผูกไว้ ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรับผิดชอบต่อชีวิตที่แม้ไม่ตั้งใจให้เกิด
เด็กชายอภัยจึงมีนามใหม่ว่า “เจ้าชายอภัย” และเป็น “พระอภัย” เมื่อคราวออกบวช
เหตุเกิด พ.ศ.๒๕๕๓
หญิง : ไม่ต้องใส่ “ถุง” หรอก....ทำหมันแล้ว (ขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังควานหาปลอกป้องชีพ)
ชาย : แน่ใจนะ ถ้าเกิดไรผิดพลาดผมซวยเลย...ผมเป็น Supper Star นะ
หญิง : แหมขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อใจกันอีกเหรอ....!!!!
สองคนสบตากัน มีเพียงการเคลื่อนไหวทางกายและเสียงลมหายใจหอบถี่ของทั้งคู่
๑ ปีผ่านไปฉับไวดุจสายลม
ไม่มีแหวน มีเพียงใบเสร็จการโอนเงิน ....ปัญหา...และคำถาม......ใคร.. ?
เหตุเกิด พ.ศ.2558 [19-9-58]
TATA : ไม่ต้องใส่ถุงหรอก....อยากมีลูกกับพี่ รักพี่คนเดียวนะ เพราะรักและต้องการเป็นของพี่
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังงง กับตัวเองว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ? แม้ร่างกายจะไร้อาภรณ์ และความเป็นชายพร้อม "รบ"
JO KHUN : แน่ใจนะว่าเกิดอะไรขึ้นมา พี่เสียคนนะ ความบริสุทธิ์ พรหมจรรย์ ชื่อเสียง และเกียรติยศ ของพี่จะเสียไปด้วย พี่เป็น JO KHUN นะ
TATA : ขนาดนี้ยังไม่เชื่อใจกันอีกหรือ รักพี่นะ รักพี่ รักพี่คนเดียว รักพี่นะจึงยอมให้พี่ ไม่เคยกับใครมาก่อนเลย พี่เป็นคนแรกของ TATA นะ
…………………………..
ในชั่วโมงนี้คงไม่มีใครพูดถึงข่าวนักร้องดัง กับข่าวนานาชนิดที่เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งที่ยังไม่ได้บทสรุปว่าใครเป็นพ่อ หรือตกลงใช่ผลิตผลของกันและกันหรือไม่ ตรวจ DNA ไหม แต่อีกด้านหนึ่งกลายเป็นผลกระทบในวงกว้าง เริ่มตั้งแต่ตัวผู้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหญิงชายและทารกที่เกิดมา กรณีการให้ครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ “นอกสมรส” ความรับผิดชอบ “สาธารณะ” และความรับผิดชอบต่อชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่จะพึงมีต่อมนุษย์อื่น(ไม่ทำแท้ง) การเป็น “ต้นแบบ” ของบุคคลตัวอย่างสาธารณะ (ดารา) รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาระหว่างผลประโยชน์ขององค์กรกับความรับผิดชอบเชิงสังคมส่วนรวม เกณฑ์ทางจริยธรรม รวมไปถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และสิทธิทางเพศ (สตรี) กรณีเหล่านี้น่าสนใจตรงที่ว่าทุก “ปัญหา” มีทางออกแต่เราจะใช้วิธีคิดอันใด ช่วยให้คำอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อมีมุมได้มอง และทางออกอย่างเข้าใจต่อสังคมที่ดีขึ้น
ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ รับรู้ผ่านข้อมูลข่าวสาร จึงควรมีมุมคิด ต่อเหตุการณ์และพฤติกรรมสังคมที่เกิดขึ้นในฐานคิดพุทธที่ว่า
๑. มองตามหลักการกระทำ (กรรม) ดังวลียอดฮิตของท่าน ว.วชิรเมธีที่ว่า “ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว” หรือคำพระที่เคยได้ยินว่า “ทำดีได้ดีมีผลเป็นสุข ทำชั่วได้ชั่วมีผลเป็นทุกข์” โดยสรุปก็คือผู้กระทำย่อมยิลยลต่อผลของการกระทำนั้นแม้ไม่ต้องการก็ตาม
๒. มองตามหลักประพฤติ (ศีล-กฏหมาย) การปฎิบัติตามกฎแห่งศีลและกฎหมาย ย่อมมีความเป็นการควบคุม ป้องกัน และรักษา Free Love&Sex เป็นรูปแบบที่พึ่งใจและชื่นชอบที่จะปฏิบัติกัน ของ “วัฒนธรรมทางเพศ” ยุคใหม่ แต่ข้อ “บัญญัติ”(ศีล-กฎหมาย) ก็ยังคง ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมแม้จะปฏิบัติหรือไม่ก็ตาม แต่มันย่อมสนองผลเสมอแม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดกฎศีลธรรม จากการข้ามเว้น กรณีข้อ “มิจฉาจาร” เป็น “Sex ที่ผิดขนบ” ผลกระทบรุนแรงทั้งส่วนตัว ครอบครัว และสังคม เช่น นักการเมืองอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด / ตำรวจ / หรือใครก็ตาม ล้วนมีผลกระทบรุนแรง รวมทั้งกรณีนักร้องดัง ที่ต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์กันถ้วนหน้า
๓. หลักความจริง/การไม่ล่วงข้อเท็จจริง (สัจจะ-อมุสาวาท) คำพุทธที่ว่า ““สจฺจํ เว อมตา วาจา=ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย“ ความจริงเป็นสิ่งที่จะยืนยันความถูกต้องทั้งในระดับบุคล สังคมและประเทศชาติ เพียงแต่ต้องเป็นความจริงที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้พูดและสังคมโดยรวม ต้องมิใช่ฉ้อฉล หลอกลวง อำพราง ซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์แก่ผู้ใด ใคร ระดับใดทั้งสิ้น ท้ายที่สุดความจริงจะอธิบายปรากฏการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น
๔. มองตามหลักการเปลี่ยนแปลง(ไตรลักษณ์-โลกธรรม) สรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีชื่อเสียงก็เสียได้ มียศตำแหน่งก็สิ้นไปได้ อันเนื่องด้วยความเป็นเรื่อง “ธรรมดา” โดยจะมีการกระทำ (กรรม) ที่เรากระทำดีรักษาไว้ได้ ทำตรงกันข้ามได้รับผลกระทบ คิดง่าย ๆ คือ สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจะรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร...?
๕. หลักแห่งธรรมชาติ อาจหมายถึงเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง “SEX”เป็นพฤติกรรมธรรมชาติ เป็นสัญชาติญาณหนึ่งของมนุษย์ ที่จะพึงกระทำต่อกัน ความหมายหนึ่งเพื่อตอบสนองความ “รัญจวน” อันเกิดจากพฤติกรรมสังวาสที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ อีกความหมายหนึ่งเป็นการ “สืบเผ่าต่อพันธุ์” เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ เป็นสิ่งที่เขาจะพึงกระทำต่อกันได้แต่ต้องเป็นการกระทำที่สัมพันธ์ถึงขนบ “จารีต” และการจัดวางบน “ฐาน” ที่เหมาะสม
๖. มองตามหลักของความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบต่อชีวิต(อื่น)ในฐานะเป็น “มนุษย์” ด้วยกัน ความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะเป็นแบบอย่าง ความรับผิดชอบต่อ “กฎ”หมายและศีลธรรม ในฐานะเป็นพลเมืองและศาสนิก จึงเป็นสิ่งที่มนุษยษ์ทุกผู้นามพึงมีไม่ได้จำกัดเฉพาะใคร อาชีพอะไร หรือฐานะอย่างไร...
กรณีที่เป็นข่าวจึงย่อมบอกเป็นนัยยะทางสังคมได้ว่า เมื่อเป็นบุคคลในสังคม หรือบุคคลสาธารณะมิใช่จำกัดในอาชีพใดอาชีพหนึ่ง จะทำการสิ่งใดที่พร่องจริยธรรมและกฎหมาย ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นทั้งส่วนตัวและสังคมในวางกว้าง แม้สิ่งที่กระทำจะอยู่ในที่ลับก็ตาม “นตฺถิ โลเก รโห นาม” ขึ้นชื่อว่าความลับย่อมไม่มีในโลก จริยธรรม และกฎหมายบ้านเมือง ผู้กระทำผิด พร่อง พลาด ขาดความรับผิดชอบ กระทำแล้วย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตย่อมเป็น “โทษ” กรรมที่หมายถึงการกระทำย่อมให้ผลต่อผู้กระทำด้วยเช่นกัน....
พระเจ้าพิมพิสารกับนักร้องดังสบตากัน....แม้จะช่วงเวลาต่างกันแต่คงคิดไม่ต่างกันกระมัง....!!!!!
นำมาเทียบเคียงและให้สติได้ดีแท้