1. การวิจัยในชั้นเรียนคืออะไร ?
การวิจัยในชั้นเรียน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Classroom Research คือกระบวนการหาความรู้หรือวิธีการใหม่ ๆ รวมทั้งการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตนเอง หรือเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน ผลการวิจัยใช้ได้เฉพาะกลุ่มที่ทำการศึกษา บางทีเราเรียกว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) หรือการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
2. ใครเป็นผู้ทำวิจัยในชั้นเรียน ?
ผู้ทำวิจัยในชั้นเรียนคือ ครูผู้สอน
3. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มีขั้นตอนอะไรบ้าง ?
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มีขั้นตอนดังนี้
1) วิเคราะห์ปัญหา/การพัฒนา
2) วางแผนแก้ปัญหา/การพัฒนา
3) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา/การพัฒนา
4) เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล
5) สรุปผลการแก้ปัญหา/การพัฒนา
4. ครูผู้สอนจะเริ่มต้นทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างไร ?
ครูผู้สอนจะเริ่มต้นด้วยวิธีง่าย ๆ คือ สอนไปสังเกตไป ว่าผู้เรียนคนไหนมีจุดเด่น จุดด้อยตรงไหน แล้วพยายามบันทึกไว้ จากนั้นสรุปข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งจะทำให้ทราบว่าเด็กในชั้นมีกลุ่มเก่งกี่คน กลุ่มอ่อนกี่คน ใครบ้างที่เรียนอ่อน อ่อนในเรื่องอะไร เพื่อจะได้คิดหานวัตกรรมที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มอ่อนต่อไป
5. ปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการพัฒนาต้องเป็นด้านความรู้เท่านั้นใช่หรือไม่ ?
ไม่ใช่ !!! ปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการพัฒนาอาจเป็นด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ หรือด้านความประพฤติ พฤติกรรม หรือบุคลิกภาพที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียนก็ได้
6. การทำวิจัยในชั้นเรียน จะทำให้ครูทิ้งชั้นเรียน เพราะ ต้องไปค้นคว้าเกี่ยวกับนวัตกรรม ใช่หรือไม่ ?
ไม่ใช่ !!! การทำวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยเล็ก ๆ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานจริง มุ่งแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน เป็นสำคัญ ไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหรืออ้างอิงแบบวิทยานิพนธ์ รูปแบบการหาความรู้อาจได้มาจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูด้วยกัน จากเอกสารต่าง ๆ ที่ได้รับจากการประชุมอบรม สัมมนา จากรายการ โทรทัศน์ทางการศึกษา จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น Internet วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัยต่าง ๆ ที่มีผู้ทำไว้
7. รายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนจะเขียนเมื่อไร ?
เขียนขึ้นเมื่อครูผู้สอนเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครูผู้สอนต้องเขียนสรุปผลการวิจัย หากพบว่าผู้เรียนไม่เกิดการเรียนรู้ และ/หรือมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ครูผู้สอนอาจต้องทำวิจัย ในชั้นเรียนซ้ำอีกครั้งหรือหลาย ๆ ครั้ง จนกว่าผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ และ/หรือมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ตามเจตนารมณ์ตามหลักสูตรอย่างแท้จริง
8. การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนต้องเขียนตามระเบียบวิธีวิจัย คือต้องมีบทที่ 1 ถึง บทที่ 5 ใช่หรือไม่?
ไม่จำเป็น!!! การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน ครูสามารถเขียนง่าย ๆ โดยระบุปัญหาที่ พบ สาเหตุของปัญหา วิธีการแก้ปัญหา และผลการแก้ปัญหา อาจมีข้อเสนอแนะหรือ ข้อสังเกตต่อท้าย และแนบหลักฐานสิ่งที่ได้ ดำเนินการ เช่น แบบฝึก แบบบันทึก ฯลฯ
9. ทำวิจัยแล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ?
ทำวิจัยแล้วมีประโยชน์อย่างแน่นอน ประโยชน์ต่อนักเรียนคือ นักเรียนแต่ละคนจะได้รับการพัฒนา หรือแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี ประโยชน์ต่อครูคือ ครูมีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ ครูผู้สอนสามารถสรุปเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อรอรับการประเมินตามมาตรฐานวิชาชีพครู และ สามารถรวบรวมเป็นผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อนระดับให้สูงขึ้น
10. การวิจัยในชั้นเรียนและการวิจัยในโรงเรียนต่างกันอย่างไร ?
การวิจัยในชั้นเรียน เป็นการวิจัยของครูที่ประจำอยู่ในห้องเรียน ซึ่งสังเกตพบว่า นักเรียนบางคนมีปัญหา และเมื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาของนักเรียนบางคนดังกล่าว ระบุได้หลายสาเหตุ จึงเลือกสาเหตุที่ตนสามารถ แก้ไขได้ หาวิธีแก้ไข (ซึ่งไม่ใช่วิธีสอน) ดำเนินการแก้ไขไปพร้อม ๆ กับการสอนนักเรียนกลุ่มใหญ่ จนปัญหา ดังกล่าวได้รับการคลี่คลาย จึงเขียนรายงานการวิจัยซึ่งมีความยาว 2-3 หน้า
การวิจัยในโรงเรียน เป็นการวิจัยของผู้บริหารโรงเรียน หรือศึกษานิเทศก์ ซึ่งสังเกตพบว่า ครูบางคนมีปัญหา ในงานครู และเมื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุดังกล่าว ก็ระบุได้หลายสาเหตุ จึงเลือกสาเหตุที่ตนสามารถแก้ไขได้ หาวิธีการ แก้ไข ดำเนินการแก้ไข ไปพร้อม ๆ กับการปฏิบัติงานปกติของตน จนปัญหาดังกล่าวได้รับการคลี่คลาย จึงเขียน รายงานการวิจัยซึ่งมีความยาว 2-3 หน้า เช่นเดียวกัน
11. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนจะทำได้ทุกกลุ่มสาระหรือไม่ ?
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน สามารถทำได้ทุกกลุ่มสาระไม่ว่าจะเป็นสาระความรู้ การปฏิบัติ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและการพัฒนาคุณธรรม ลักษณะของแต่ละกลุ่มสาระใช้กระบวนการเดียวกัน คือ ก่อนวิจัยต้องมีการหาปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการพัฒนา หาแนวทางแก้ไข นำแนวทางไปดำเนินการ สรุปผล การเขียนรายงาน
12. โดยสรุปการวิจัยในชั้นเรียนจะมีลักษณะอย่างไร ?
การวิจัยในชั้นเรียนจะมีลักษณะดังนี้
1) ผู้วิจัยยังคงทำงานตามปกติของตน
2) ไม่ต้องสร้างเครื่องมือวิจัย
3) ไม่มีข้อมูลจำนวนมาก
4) ไม่ต้องทบทวนรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
5) ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากการสังเกต การพูดคุย และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
6) ใช้เวลาทำวิจัยไม่นาน ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและจำนวนบุคคลที่ต้องการแก้ไข
7) ความยาว 2-3 หน้าต่อเรื่อง
8) นักเรียน/ครู ได้รับการแก้ไขหรือพัฒนา
9) ไม่มีการระบุประชากร กลุ่มตัวอย่าง การสุ่มตัวอย่าง
10) ไม่ต้องใช้สถิติสรุปอ้างอิง และไม่มีระดับนัยสำคัญ
11. ไม่มีการทดสอบก่อนหลัง
12. ไม่มีกลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม
13. เป็นการวิจัยเชิงคุณลักษณะ (Qualitative research มากกว่า Quantitative research)
14. เน้นการแก้ไขที่สาเหตุของปัญหาของนักเรียน/ครู บางคน บางเรื่อง
ในการออกแบบแผนการวิจัยนั้นมีองค์ประกอบที่สำคัญๆ บางส่วนที่ควรจะมี ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้มักจะเป็นปัญหาค่อนข้างมากสำหรับผู้ที่เริ่มทำวิจัย องค์ประกอบดังกล่าว ได้แก่
1. โจทย์วิจัยและคำถามการวิจัย (Research problem and question) ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เพราะการทำวิจัยจะทำไม่ได้เลยหรือถ้าหากทำได้ก็เป็นการทำที่ผิดทิศทาง ถ้านักวิจัยไม่มีโจทย์หรือคำถามการวิจัยที่ชัดเจน ทั้งนี้เนื่องจากการทำวิจัยนั้นจะเริ่มจากความสงสัย การมีปัญหาใคร่รู้คำตอบเกี่ยวกับตัวแปรหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ดังนั้นหากไม่สงสัยหรือไม่มีโจทย์เสียแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำการวิจัยไปเพื่ออะไร
โจทย์วิจัยหรือปัญหาการวิจัย (Research problem) และคำถามการวิจัย (Research question) นี้บางครั้งก็ใช้ทดแทนกันได้ในความหมายที่เหมือนกัน แต่ถ้าจะแยกความแตกต่างแล้ว โจทย์วิจัยหรือปัญหาการวิจัยก็จะมีการนำไปใช้ที่กว้างกว่าคำถามการวิจัย นั่นคือ เมื่อกำหนดโจทย์วิจัยหรือปัญหาการวิจัยได้แล้วก็นำปัญหานั้นๆ มาแยกแยะตั้งเป็นคำถามย่อยๆ ซึ่งประเด็นคำถามย่อยๆ นี้ ก็คือ คำถามการวิจัย (Research question) นั่นเอง
2. กรอบเชิงทฤษฎีและกรอบแนวคิด (Theoretical and conceptual framework) ในการดำเนินงานวิจัยเรื่องใดๆ ก็ตาม ปัญหาการวิจัยและแนวทางที่จะหาคำตอบให้กับปัญหามิได้เกิดมาบนความว่างเปล่า หากล้วนแต่ต้องมีพื้นฐานที่มาที่จะช่วยอธิบายเชื่อมโยงระหว่างปรากฏการณ์หรือตัวแปรต่างๆ ที่ผู้วิจัยสนใจศึกษาหาคำตอบ ซึ่งพื้นฐานดังกล่าว ได้แก่ ทฤษฎีและข้อค้นพบบางอย่างจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์หรือตัวแปรที่ผู้วิจัยจะศึกษา ถ้าทฤษฎีและข้อค้นพบจากงานวิจัย (เดิม) นี้ มีการเขียนในลักษณะเป็นรูปแบบหรือแบบจำลอง รูปแบบหรือแบบจำลองนี้ก็คือ กรอบเชิงทฤษฎี (Theoretical framework) นั่นเอง
สำหรับกรอบแนวคิดการวิจัย (conceptual framework) นั้นก็คือ กรอบเชิงทฤษฎีที่ลดรูปลงมาเพื่อใช้สำหรับการวิจัยในเรื่องนั้นๆ กล่าวคือ ในขณะที่กรอบเชิงทฤษฎีได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยหรือความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งหมดที่นักวิจัยต้องศึกษาที่มาจากทฤษฎีแนวคิดและผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อดำเนินการวิจัยในเรื่องดังกล่าว นักวิจัยได้พิจารณาลดตัวแปรบางตัวลง หรือทำให้ตัวแปรบางตัวเป็นตัวแปรคงที่ จึงทำการปรับกรอบเชิงทฤษฎีใหม่ก็จะได้เป็นกรอบแนวคิดการวิจัย (conceptual framework) สำหรับการวิจัยในเรื่องนั้นๆ
3.ขอบเขต (Scope) ข้อจำกัด (Limitation) และข้อตกลงเบื้องต้น (Basic assumption) จากกรณีที่นักวิจัยทำการลดรูปกรอบเชิงทฤษฎีเป็นกรอบแนวคิดการวิจัยดังในหัวข้อที่ผ่านมาก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงขอบเขต (Scope) ของการวิจัย นั่นคือ ถ้าผลการวิจัยเป็นเช่นไรแล้วจะมีขอบเขตในการสรุปอ้างอิงไปสู่เฉพาะนักเรียนในกลุ่มนี้เท่านั้น หากมีปัจจัยหรือตัวแปรที่ไม่ได้ศึกษา (ทั้งๆ ที่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยหรือตัวแปรที่ศึกษา) ต้องระบุเป็น ข้อจำกัด (Limitation) ของการวิจัยครั้งนี้ด้วย นอกจากนั้นแล้วถ้านักวิจัยระบุว่าปัจจัยหรือตัวแปรที่ไม่ได้นำเข้ามาศึกษาในครั้งนี้มีผลอย่างสุ่มหรือผลคงที่กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ การระบุเช่นนี้ก็เรียกว่า ข้อตกลงเบื้องต้น (Basic assumption)
4. กรอบการวิจัย (Research flow chart) กรอบการวิจัยหรืออาจจะเรียกว่า กรอบวิธีดำเนินการวิจัย หมายถึง แผนภูมิที่เขียนขึ้นในลักษณะเป็นผังไหล (flow chart) แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนกิจกรรมและผลที่จะได้รับจากการดำเนินการวิจัยในแต่ละขั้นตอน เพื่อสื่อให้ผู้อ่านงานวิจัยเกิดความคิดรวบยอด (Concept) เข้าใจภาพรวมทั้งหมดของการดำเนินงานวิจัยในเรื่องนั้นๆ
เอกสารอ้างอิง
รัตนะ บัวสนธ์. (2551). ปรัชญาวิจัย (Philosophy of Research). กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรุณี อ่อนสวัสดิ์. (2553). เอกสารประกอบการบรรยาย วิชา ระเบียบวิธีวิจัยขั้นสูง (390611).
พิษณุโลก. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ไม่มีความเห็น