แบบแผนการวิจัย
ความหมายและลักษณะ
แบบแผนการวิจัยตรงกับคำว่า “Research design” หมายถึง แผนหรือโครงสร้างของการศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของคำถามการวิจัย
- แผน หมายถึง การที่ผู้วิจัยได้วางแผนไว้ว่าจะทำการวิจัยอย่างไร นับตั้งแต่การตั้งปัญหาในการวิจัย จนกระทั่งถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบของการวิจัย
- โครงสร้าง หมายถึง กระบวนทัศน์ (Paradigm) หรือรูปแบบ (Model) ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ทำการศึกษา
ดังนั้น แบบแผนการวิจัย คือ ปัญหาการวิจัยและแผนที่กำหนดไว้ซึ่งสำหรับการศึกษาหาข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัย
วัตถุประสงค์ของแบบแผนการวิจัย
1. เพื่อจัดเตรียมคำตอบให้กับคำถามการวิจัย
2. เพื่อควบคุมความแปรปรวน
ความตรงภายในและความตรงภายนอกของการวิจัย
ความตรงภายในของการวิจัย หมายถึง ผลของการวิจัยครั้งนั้นๆ ตอบคำถามการวิจัยได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นผลมาจากตัวแปรที่นักวิจัยทำการศึกษาอย่างแท้จริง มิใช่เป็นผลมาจากตัวแปรอื่นที่นักวิจัยไม่ได้ทำการศึกษา
ความตรงภายนอกของการวิจัย หมายถึง ผลของการวิจัยที่ค้นพบสามารถสรุปอ้างอิง (Generalization) ไปสู่ประชากรเงื่อนไขเดียวกับที่ทำการวิจัย หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า ข้อค้นพบจากการวิจัยในครั้งนั้นๆ สามารถนำไปสรุปใช้ได้กับสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่มีลักษณะเงื่อนไขเดียวกันกับการวิจัยครั้งนี้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายในและความตรงภายนอกของการวิจัย
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายในของการวิจัย
1.1 ประวัติพร้อง (Contemporary) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหรือเกิดขึ้นในขณะทำการวิจัยกับบุคคลที่เป็นตัวอย่าง/หน่วยทดลอง ยกตัวอย่างเช่น
1.2 กระบวนการวุฒิภาวะ (Maturation process) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางชีววิทยาและจิตวิทยาที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคลที่เป็นหน่วยการศึกษาหรือหน่วยตัวอย่าง อันเนื่องมาจากระยะเวลาที่นักวิจัยทำการศึกษาค่อนข้างยาวนาน จนกระทั่งทำให้บุคคลดังกล่าวแสดงอาการตอบสนองเปลี่ยนแปลงไป เช่น ความเหนื่อยล้า ภาวะหงุดหงิด เป็นต้น
1.3 แนวทางการทดสอบก่อน (Pretesting procedures) ปัจจัยนี้จะเกิดขึ้นเมื่อในการวิจัยนั้นมีการสอบวัดความรู้หรือทักษะของบุคคลที่เป็นหน่วยตัวอย่างก่อนที่จะทำการทดลอง และเมื่อดำเนินการทดลองเสร็จแล้วสอบวัดความรู้อีกครั้ง ซึ่งการที่นักวิจัยสรุปว่าผลจากการดำเนินกิจกรรมทดลองทำให้บุคคลเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอาจจะคลาดเคลื่อน ถ้าบุคคลเหล่านั้นนำประสบการณ์จากการสอบครั้งแรกมาใช้ตอบสนองการสอบครั้งหลัง
1.4 เครื่องมือการวัด (Measuring instrument) การใช้เครื่องมือและวิธีการที่ไม่ดีหรือไม่มีคุณภาพในการสังเกต/วัด เก็บรวบรวมข้อมูลของตัวแปรที่ทำการศึกษากับบุคคลที่เป็นหน่วยตัวอย่าง อาจมีผลทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงและนำไปสู่การสรุปผลการวิจัยที่ผิดพลาด
1.5 การถดถอยทางสถิติ (Statistical regression) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายในเมื่อในการวิจัยนั้นมีการสอบวัดสองครั้งกับบุคคลซึ่งเป็นหน่วยตัวอย่าง โดยในการสอบครั้งแรกจะมีบุคคลที่ได้คะแนนสุดโต่ง คือ กลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ หลังจากนั้นให้ทั้งสองกลุ่มได้รับเงื่อนไข สอบวัดอีกครั้งซึ่งในการสอบครั้งหลังนี้กลุ่มต่ำมักทำคะแนนได้ดีขึ้น ขณะที่กลุ่มสูงคะแนนจะลดลง ลักษณะเช่นนี้จะเห็นว่าจะเกิดแนวโน้มของคะแนนจากการสอบวัดครั้งหลังนี้ลู่เข้าสู่คะแนนเฉลี่ยที่แท้จริง
1.6 การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีความแตกต่าง (Differential selection of subjects) บางครั้งการวิจัยมักเกิดความผิดพลาด อันเนื่องมาจากการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ดีหรือได้กลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกันตามพื้นฐานแต่เดิม
1.7 การขาดหายไปจากการทดลอง (Experimental mortality) มักพบในงานวิจัยเชิงทดลองบางครั้งกลุ่มตัวอย่างได้ขาดหายไปในช่วงของการทดลอง ซึ่งมีผลทำให้ข้อค้นพบของการวิจัยผิดไปจากความเป็นจริง
1.8 ปฏิสัมพันธ์ร่วมระหว่างการคัดเลือกตัวอย่างกับปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา (Interaction of selection and maturation, selection and history. Etc.) ในงานวิจัยถ้าใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยไม่ดี ย่อมทำให้มีผลจากปัจจัยอื่นๆ ที่ติดมากับกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกไว้มา ร่วมส่งผลต่อตัวแปรตามที่ศึกษาด้วยเสมอ เช่น ถ้าใช้วิธีการคัดเลือกไม่ดีก็อาจได้กลุ่มตัวอย่างที่มีวุฒิภาวะต่างกันหรือประวัติพร้องต่างกัน ซึ่งทั้งวุฒิภาวะและประวัติพร้องต่างก็มีผลต่อตัวแปรตามทั้งสิ้น
2. ปัจจัยที่มีผลต่อความตรงภายนอกของการวิจัย
2.1 ปฏิสัมพันธ์ของความลำเอียงในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างกับตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษา (Interaction effects of selection biases and x) กรณีที่กลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร เมื่อนำกลุ่มตัวอย่างมาใช้ในการวิจัยและได้ผลการวิจัยเป็นเช่นไร การจะสรุปผลไปยังประชากรจะมีความผิดพลาดเป็นอย่างมาก
2.2 ปฏิสัมพันธ์ร่วมจากการทดสอบก่อน (Reactive or interaction effect of pretesting) ในกรณีงานวิจัยที่มีการทดสอบก่อน ก่อนที่จะให้เงื่อนไขการทดลองหรือตัวแปรอิสระใดๆ ก็ตาม ผลการทดสอบก่อนนี้อาจจะทำให้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเกิดการเรียนรู้หรือมีความฉลาดมากขึ้นจากการสอบ (Test wise)
2.3 ปฏิกิริยาร่วมจากวิธีดำเนินการทดลอง (Reactive effects of experimental procedures) การที่กลุ่มตัวอย่างรู้ตัวว่านักวิจัยต้องการข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามปกติของกลุ่มตัวอย่าง อาจทำให้กลุ่มตัวอย่างเสแสร้งและแสดงพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติ เพื่อให้นักวิจัยพอใจหรือเป็นไปตามที่นักวิจัยต้องการ ก็จะทำให้ได้ผลการวิจัยไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งก็ไม่สามารถสรุปไปสู่ประชากรได้
2.4 การรบกวนหรือปนเปเนื่องจากเงื่อนไขการทดลองที่มีมาก (Multiple-treatment interference) กรณีงานวิจัยที่ให้เงื่อนไขการทดลองหลายๆ เงื่อนไขกับตัวอย่างในงานวิจัยกลุ่มเดียวทำให้อิทธิพลของเงื่อนไขการทดลองแต่ละเงื่อนไขร่วมกันส่งผลต่อตัวแปรตามยากต่อการจำแนก
ไม่มีความเห็น