ต่อจากตอนที่แล้ว
๒. ลักษณะเฉพาะของจิต คือ
๒.๑. ดิ้นรน (ผนฺทนํ)[1] คือดิ้นรนไปในอารมณ์ ทั้ง ๖ มีรูปารมณ์เป็นต้น[2]ดิ้นรนในการรับอารมณ์ทางทวารตา ทวารหู ทวารจมูก ทวารลิ้น ทวารกาย ทวารใจ เปรียบเหมือนปลาที่ถูกเหวี่ยงขึ้นบกซึ่งมีแต่จะดิ้นรนลงน้ำอย่างเดียว
๒.๒. กวัดแกว่ง (จปลํ)[3] คือหวั่นไหวไม่อาจจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวได้นาน ดุจทารกไม่อาจทรงตัวอยู่ในอิริยาบถได้นาน[4]
๒.๓. รักษายาก (ทุรกฺขํ)[5] คือ ให้ดำรงอยู่ในอารมณ์ธรรมที่เป็นสัปปายะได้ยาก[6]การที่จะรักษาจิตให้มั่นคงคิดอยู่แต่สิ่งที่ดีตลอดเวลานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก
๒.๔. ห้ามยาก (ทุนฺนิวารยํ) [7]คือห้ามหรือกันมิให้ฟุ้งซ่านไปในวิสภาคารมณ์ได้ยาก[8]ไม่ใช่แต่เพียงการรักษาจิตให้อยู่ในความดีเท่านั้นที่ทำได้ยาก แม้การห้ามจิตจากความชั่ว คือ ความพยายามระวังจิตไม่ให้คิดในสิ่งที่ไม่ดีนั้น ก็ทำได้ยากเหมือนกัน[9]
๒.๕. ควบคุมได้ยาก (ทุนฺนิคฺคหํ)[10] คือชอบใฝ่หาแต่อารมณ์ที่น่าปรารถนา ย่อมเกิดดับเร็ว จึงชื่อว่าข่มได้ยาก
กล่าวโดยสรุป ลักษณะของจิตในจิตตุปปาทกัณฑ์มีลักษณะที่เป็นกุศล อกุศล และไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล(อัพยากตะ) มีทั้งลักษณะที่เป็นกุศลชั้นธรรมดา กุศลที่เป็นฌาน กุศลที่เป็นโลกุตตระ ลักษณะของจิตที่เป็นผลมีหน้าที่รับผลของการกระทำ(วิบาก) ลักษณะจิตที่สักแต่ว่ากระทำไม่เกิดบุญหรือบาป(กิริยาจิต) ลักษณะจิตที่ดีใจ เฉยๆ เสียใจ สงสัย ฟุ้งซ่าน
ในพระสุตตันตปิฎกได้กล่าวถึงลักษณะของจิตหลายประการตามที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น และอรรถกถาได้อธิบายลักษณะของจิตว่า มีลักษณะที่รู้อารมณ์ เป็นหัวหน้าในการทำงานทุกอย่าง ในขณะที่มีการเห็นรูป จิตเป็นผู้เห็น ขณะได้ยินเสียง จิตเป็นผู้ได้ยิน ขณะได้กลิ่น จิตเป็นผู้ได้กลิ่น ขณะรู้รส จิตเป็นผู้รู้รส ขณะ รู้สัมผัส จิตเป็นผู้รู้สัมผัส ขณะรู้ธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดทางใจ) จิตเป็นผู้รู้อารมณ์ที่เกิดทางใจนั้น
ประเภทของจิต
จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาพที่มีจริง เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ถึงแม้จะไม่มีรูปร่างเป็นตัวตน แต่ก็แสดงความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ในจิตตุปปาทกัณฑ์ได้แบ่งจิตเป็น ๔ ประเภท หรือแบ่งจิตออกเป็น ๔ ระดับ คือระดับกามาวจรจิต ระดับรูปาวจรจิต ระดับอรูปาวจรจิต และระดับโลกุตตรจิต มีรายละเอียดดังนี้
กามาวจรจิต อรรถกถาได้ให้ความหมายว่าเป็น จิตที่นับเนื่องในกามาวจรธรรมทั้งหลาย จิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คำว่ากาม แปลว่าใคร่ มี ๒ อย่าง คือกิเลสกาม ๑ วัตถุกาม ๑ กิเลสกามได้แก่ฉันทราคะ (โลภเจตสิก) วัตถุกามได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ[11]กามาวจรจิต ซึ่งยินดี พอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเหนียวแน่นมาก แม้ว่ารูปจะปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยที่สุด คือชั่วขณะที่กระทบจักขุปสาท เสียงก็ปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยเหลือเกิน คือชั่วขณะที่กระทบกับโสตปสาท กลิ่น รส และโผฏฐัพพะก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป(ปริตตธรรม) แต่จิตก็ยินดีพอใจติดข้องอยู่ในปริตตธรรมนั้นอยู่เสมอเพราะการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของปริตตธรรมนั้นๆ จึงดูเสมือนไม่ดับไป
ความเพลิดเพลินยินดีพอใจในอารมณ์ที่น่าปรารถนาคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่หมดสิ้น แม้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นๆ จะดับไปแล้ว แต่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอื่นๆก็เกิดสืบต่อทำให้ความหลงติดยินดีพอใจในรูป เสียง ฯลฯ สืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นรูปใดก็ตามซึ่งเป็นที่พอใจแล้ว ก็อยากจะเห็นอีกบ่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงที่พอใจแล้ว ก็อยากได้ยินเสียงนั้น อีก กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เช่นเดียวกัน เมื่อบริโภครสใดที่พอใจแล้ว ก็อยากบริโภครสนั้นซ้ำๆอีก[12] เป็นจิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามภูมิ ๑๑ ซึ่งประกอบด้วย อบายภูมิ ๔ มนุสสภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖[13] กามจิตย่อมท่องเที่ยวไปในภูมิเหล่านี้ หรืออีกประการหนึ่ง จิตที่ยังปฏิสนธิให้ท่องเที่ยวไปในกาม กล่าวคือ กามภพ เหตุนั้นจิตนั้นชื่อว่า กามาวจร กามาวจรจิตมี ๕๔คือ
อกุศลจิต จิตที่เป็นอกุศลมี ๑๒ สภาวะ
อเหตุกจิต จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ มีจำนวน ๑๘ สภาวะ
กามาวจรโสภณจิต จิตที่สวยงามในกามภูมิ มีจำนวน ๒๔ สภาวะ[14]
อกุศลจิต๑๒ สภาวะ คือ โลภมูลจิต ๘ สภาวะ โทสมูลจิต ๒ สภาวะ
โมหมูลจิต ๒ สภาวะ
อเหตุกจิต ๑๘ สภาวะ อกุศลวิปากจิต ๗ สภาวะ อเหตุกกุศลวิปากจิต ๘ สภาวะ
อเหตุกกิริยาจิต ๓ สภาวะ
กามาวจรโสภณจิต ๒๔ สภาวะ
มหากุศลจิต ๘ มหาวิปากจิต ๘
มหากิริยาจิต ๘
จิตในกามภูมิเหล่านี้ เป็นจิตดีงามก็มี เป็นจิตชั่วเลวก็มี และเป็นจิตที่เป็นผลของบุญ ผลของบาปก็มี กิริยาอาการต่างๆที่ปรากฏเป็นการแสดงออกของจิตใจของคนเราสั่งให้พูด สั่งให้เคลื่อนไหวไปมาได้[15]
รูปาวจรจิต หมายถึง จิตที่ท่องเที่ยวเกิดอยู่ในภูมิอันเป็นที่เกิดแห่งวัตถุรูปและกิเลสรูปเป็นส่วนมาก[16]จิตที่ประพฤติเป็นไปในรูปภูมิ เป็นจิตที่เกิดดับอยู่ในรูปพรหมเป็นส่วนมาก แต่สามารถจะเกิดขึ้นได้ในมนุษย์และเทวดาบ้าง รูปาวจรจิตนี้มีกรรมฐาน ๔๐ อันเป็นบัญญัติเป็นอารมณ์กรรมฐาน กรรมฐาน ๔๐ นั้นแบ่งออกเป็น ๗ หมวด คือ
๑. กสิน ๑๐ ว่าด้วยสีทั้งปวง มีสีดินเป็นต้น
๒. อสุภ ๑๐ ว่าด้วยความไม่งาม มีศพขึ้นพองเป็นต้น
๓. อนุสสติ ๑๐ ว่าด้วยการระลึกตาม มีการระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๔. อัปปมัญญา ๔ ว่าด้วยการแผ่ไปโดยไม่มีประมาณมีเมตตาเป็นต้น
๕.อาหาเรปฏิกูลสัญญา ว่าด้วยความสำคัญในอาหาร มีอาหารที่คลุกเคล้าปฏิกูล น่าเกลียด เป็นต้น
๖.จตุธาตุววัตถาน ๑ ว่าด้วยธาตุ ๔ ประชุมกันมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
๗. อรูปกรรมฐาน ๔ ว่าด้วยกรรมฐานที่ไม่ใช่รูปมีอากาสเป็นต้น[17]
รูปาวจรจิตมี ๑๕ ดวง แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ
๑.รูปาวจรกุศลจิต จิตที่เป็นรูปาวจรกุศลมี ๕ ดวง
๒.รูปาวจรวิปากจิต จิตที่เป็นรูปาวจรวิบากมี ๕ ดวง
๓.รูปาวจรกิริยาจิต จิตที่เป็นรูปาวจรกิริยามี ๕ ดวง[18]
รูปาวจรกุศลจิต เป็นจิตกุศล ที่เป็นเหตุให้ประพฤติเป็นไปในรูปภูมิคือ ปฐมฌานภูมิ ๑ ทุติยฌานภูมิ๑ ตติยฌานภูมิ ๑ จตุตถฌานภูมิ ๑ จิตที่ปฏิสนธิ(เกิด) ภวังค์(เป็น) จุติ (ตาย) ในรูปภูมินั้นๆ อันเป็นผลของรูปาวจรกุศล เรียกว่า รูปาวจรวิปากจิต ส่วนรูปาวจรกิริยาจิตนั้น เป็นจิตของพระอรหันต์ที่ได้ฌานตั้งแต่ ปฐมฌานถึง ปัญจมฌาน เช่นเดียวกันกับรูปาวจรกุศลจิต แต่รูปาวจรกิริยาจิตเป็นจิตกิริยาของพระอรหันต์ที่สักแต่ทำฌานตามอำนาจของความชำนาญเท่านั้นย่อมไม่ให้ผลตอบแทนในชาติต่อไป เพราะภพชาติได้สิ้นสุดลงในชาตินั้นแล้วไม่เกิดในชาติต่อไปอีก[19]
อรูปาวจรจิต หมายถึง จิต ๑๒ ดวง ท่องเที่ยวเกิดอยู่ในภูมิอันเป็นที่เกิดแห่งวัตถุอรูปและกิเลสอรูปเป็นส่วนมาก[20] ผู้ที่เห็นโทษของรูปธรรมก็เจริญอรูปฌานผู้ที่บรรลุอรูปฌานเกิดในอรูปพรหมภูมิซึ่งไม่มีรูปเลย อรูปพรหมภูมิมี ๔ ภูมิ ในภูมินี้มีแต่นามไม่มีรูป อาจสงสัยว่าจะมีบุคคลที่มีแต่รูปเท่านั้น หรือมีแต่นามเท่านั้นได้อย่างไร ถ้าประจักษ์ลักษณะต่างๆของนามธาตุ และรูปธาตุที่ปรากฏ ทีละลักษณะ และรู้ว่าเป็นแต่เพียงธาตุที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ก็จะไม่สงสัยว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ควรแก่เหตุ ก็มีแต่รูปได้โดยไม่มีนาม และมีแต่นามได้โดยไม่มีรูป[21]
อรูปาวจรจิต ๑๒ คือ
๑. อากาสานัญจายตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑
๒.วิญญานัญจายตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑
๓.อากิญญายตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑
๔.เนวสัญญานาสัญญยตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑ [22]
โลกุตตรจิต หมายถึงจิตที่ข้ามโลก พ้นจากโลก ก้าวล่วง ครอบงำโลกทั้ง ๓ ตั้งอยู่ ออกจากโลกและจากวัฏฏะ [23]โลกุตตรจิตเป็นจิตที่เหนือโลก หรือจิตที่พ้นจาก กามโลก รูปโลก และอรูปโลก โลกุตตรจิต มี ๘ - ๔๐
นับ ๘โดยนับตามผู้บำเพ็ญวิปัสสนาล้วน ๆ ดังนี้
โสดาปัตติมัคคจิต ๑ โสตาปัตติผลจิต ๑
สกทาคามิมัคคจิต ๑ สกทาคามิผลจิต ๑
อนาคามิมัคคจิต ๑ อนาคามิผลจิต ๑
อรหัตตมัคคจิต ๑ อรหัตตมัคคจิต ๑
นับ ๔๐ นับตามฌาน หรือ นับตามบุคคลที่ได้ฌาน ดังนี้
โสตาปัตติมัคคจิต ๕ โสตาปัตติผลจิต ๕
สกทาคามิมัคคจิต ๕ สกทาคามิผลจิต๕
อนาคามิมัคคจิต ๕ อนาคามิผลจิต๕
อรหัตตมัคคจิต ๕ อรหัตตผลจิต๕[24]
สรุปความว่า จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์อยู่เสมอ เป็นลักษณะที่ไม่มีตัวตน เป็นสภาวะที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตมีทั้งหมด ๔ ประเภท หรือลักษณะการรู้อารมณ์มี ๔ระดับ คือ
๑. การรู้อารมณ์ระดับกามาวจรเป็นการรู้อารมณ์หรือนึกคิดอารมณ์ที่มีแรงชักจูงโน้มน้าวที่ถูกกำหนดโดยความต้องการอารมณ์ที่น่าปรารถนาที่ได้รับทางประตูทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๒. การรู้อารมณ์ระดับรูปาวจร เป็นการรู้อารมณ์หรือนึกคิดอารมณ์ที่สูงกว่ากามาวจร เป็นจิตได้รับการอบรมสมถกรรมฐานจนเป็นจิตที่สงบมั่นคง สามารถข่มกิเลสไว้ไม่ให้ผุดในอารมณ์ได้
๓.การรู้อารมณ์ระดับอรูปาวจรเป็นการรู้อารมณ์ที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เพราะเมื่อมีรูปเป็นอารมณ์อยู่ ก็ยังใกล้ชิดต่อการที่จะมีกามารมณ์ เมื่อพระโยคาวจรบรรลุฌานที่ ๕(ปัญจมฌาน) ซึ่งมีองค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา แล้วก็เพิกรูปที่เป็นอารมณ์ โดยน้อมระลึกถึงสภาพที่ไม่มีรูป
๔.การรู้อารมณ์ระดับโลกุตตร เป็นการรู้อารมณ์ที่สูงสุด กว่าการรู้อารมณ์ทั้ง๓
อย่างข้างต้น เพราะเป็นการรู้อารมณ์ระดับเหนือโลก เป็นการรู้อารมณ์ที่ผ่านการเรียนรู้และพัฒนาในระดับสูงสุด เป็นการรู้อารมณ์ที่ไม่ถูกกิเลสรบกวน
[1] ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๓/๓๕, (บาลี) ๒๕/๓๓/๒๒.
[3] ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๓/๓๕, (บาลี) ๒๕/๓๓/๒๒.
[5] ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๓/๓๕, (บาลี) ๒๕/๓๓/๒๒.
[7] ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๓/๓๕, (บาลี) ๒๕/๓๓/๒๒.
[9] บรรจบ บรรณรุจิ, จิต มโน วิญญาณ,หน้า ๔๐.
[10] ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๕/๓๖, (บาลี) ๒๕/๓๕/๒๒.
[12] สุจินต์ บริหารวนเขตต์, ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขปและภาคผนวก, (กรุงเทพมหานคร: โรงชวนพิมพ์,๒๕๓๖),หน้า ๑๙๐.
[13] Narada Maha Thera, A Manual of Abhidhamma,p10.
[14] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน,หน้า ๑๙.
[15] พระครูสังวรสมาธิวัตร, คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก,หน้า ๒๐.
[16] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน,หน้า ๒๐.
[17] พระครูสังวรสมาธิวัตร, คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก, หน้า ๑๕๘.
[18] Bhikkhu Bodhi, A Comprehensive Manual of Abhidhamma, ( Buddhist Publication Society Kandy Srilanka), p 52.
[19] พระครูสังวรสมาธิวัตร, คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก,หน้า ๑๖๐–๑๖๑.
[20] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖, หน้า ๒๐.
[21] Nina Van Gorkom, พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน, แปลโดยดวงเดือน บารมีธรรม หน้า ๒๖๓; Narada Maha Thera, A Manual of Abhidhamma, p 46.
[22] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๑-๒-๖,หน้า ๑๗.
[24] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖,หน้า ๑๕; Narada Maha Thera, A Manual of Abhidhamma, p 60.
สวัสดีคะอาจารย์แม่..ธัญญรัตน์คะ..ตามมาดูคะเป็นบล๊อคที่2
สวัสดีค่ะ อาจารย์แม่ ตามหากายและใจต่อเจ้าค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ชยานันตฺ
อารมณ์ในมหาวิปาก8 มีจิตที่รู้อารณ์ ได้อย่างไรบ้างคะ