กรมบัญชีกลางแจงขยายสิทธิ ร.พ.เอกชน

กรมบัญชีกลางแจงขยายสิทธิให้ข้าราชการเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลเอกชน นำร่องโรคนัดผ่าตัดล่วงหน้า และคลอดบุตร

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์  อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การที่กรมบัญชีกลางได้มีการขยายสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลให้กับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้ได้รับบำนาญและบุคคลในครอบครัว ให้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนได้ โดยไม่ต้องเข้ากรณีฉุกเฉินถึงชีวิตนั้น โดยเหตุผลหลัก คือ เพื่อต้องการเพิ่มช่องทางให้ผู้มีสิทธิได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะในปัจจุบันโรงพยาบาลของรัฐมีอัตราการเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในหนาแน่นมาก โดยเฉพาะโรคที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องรอคิวเพื่อเข้ารับการรักษาเป็นเวลานาน เมื่อมีการเสนอแก้พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการรักษาพยาบาล ทางกรมบัญชีกลางจึงมีการเสนอให้ข้าราชการไปเข้าทำการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ โดยสามารถใช้ระบบ DRGs จ่ายเงินให้กับโรคพยาบาลเอกชน เนื่องจากในปัจจุบันระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในของโรงพยาบาลรัฐนั้น ได้ใช้ระบบเหมาจ่ายตามกลุ่มโรคแบบ DRGs มาระยะหนึ่งแล้วและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

             โดยหลักเกณฑ์การรองรับในการเข้าใช้สิทธิในโรงพยาบาลเอกชนนั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นโรคที่ต้องมีการนัดผ่าตัดล่วงหน้า (Elective Surgery) และรวมถึงการคลอดบุตรด้วย โดยโรงพยาบาลเบิกตรงกับกรมบัญชีกลาง ทั้งนี้ผู้มีสิทธิจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบส่วนเกินค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ค่าแพทย์ เป็นต้น โดยในปีแรกนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะดำเนินการเป็นโครงการนำร่องและทางกรมบัญชีกลางจะมีการขยายหลักเกณฑ์เพิ่มออกไปอีกเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้สิทธิการเบิกกรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรณีที่เกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตนั้นจะยังมีอยู่เช่นเดิมไม่ได้ถูกยกเลิกแต่อย่างใด

             สำหรับโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐาน  มีคุณภาพในระดับที่เป็นที่ยอมรับ และในอนาคตจะขยายออกไปสู่โรงพยาบาลเอกชนอื่น ๆ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น หากโรงพยาบาลใดประสงค์เข้าร่วมโครงการก็สามารถส่งข้อมูลเข้าร่วม และกรมบัญชีกลางจะมีการทำสัญญากับโรงพยาบาลนั้น ๆ หลังจากนั้นจะประกาศแจ้งให้ทางส่วนราชการและผู้มีสิทธิทราบ ทั้งในส่วนของโรคที่สามารถใช้สิทธิได้ และโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ นายพงษ์ภาณุ กล่าวในตอนท้าย