การทำงานเพื่อรับใช้สังคมนั้นต้องใช้ "กำลังจิต" มากกว่าธรรมดา
เพราะว่าการทำงานทั่ว ๆ ไป เป็นการเดินตามกระแสกิเลสเป็นส่วนใหญ่ คือ อย่างน้อยก็มีลาภ ยศ และสรรเสริญเป็นเครื่องจูงใจในการกระทำงานนั้น ๆ
แต่บุคคลใดที่ตั้งจิตตั้งใจในการอุทิศตนเพื่อรับใช้สังคมนี้แล้ว เขาเหล่านั้นจักต้องเดินทวนกระแสกิเลส จักต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับกำลังใจจากบุคคลภายนอกหนึ่ง และที่สำคัญจะต้องสร้างกำลังจิตของตนเองให้เข้มแข็งอีกอย่างหนึ่ง
การพูดเพ้อเจ้อ หรือแม้กระทั่งสรวลเสเฮฮา เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ หรือเพื่อความบันเทิงเริงใจนั้น นอกจากจะทำให้เสียเวลาอันมีค่าของชีวิตแล้ว "การส่งจิตออกนอก" ด้วยการคิดเพื่อสรรหาคำพูดต่าง ๆ เพื่อมาสนทนากับบุคคลต่าง ๆ เป็นการใช้กำลังของจิตไปอย่างมากโข
อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า การที่จะตั้งจิตไว้เพื่อรับใช้สังคมนั้นต้องใช้กำลังของจิตมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้กำลังจิตที่ตั้งมั่น เพราะบางครั้งทำไปอาจจะท้อแท้ไป ทำไปแล้วเหนื่อย หมดแรง ก็เนื่องด้วยเพราะจิตใจเสียแรงไปกับเรื่องราวต่าง ๆ รอบกาย
การพูดมาก ๆ ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์นั้นทำให้จิตเสียกำลังไปโดยมิใช่เหตุ เพราะการพูดในวงสนทนาส่วนใหญ่แล้ว จะมีการ "กดข่ม" คู่สนทนาโดยไม่รู้ตัว บางครั้งก็เสียดสีเขาบ้าง ยั่วยุเขาข้าง กวนเขาบ้าง โดยเฉพาะอย่างโดนกวนบ้าง คำพูดของคู่สนทนาเมื่อมากระทบใจของเรา โดยที่เรามิได้ตั้งสติรับไว้ให้ทันท่วงทีทำให้ "อารมณ์แกว่ง" เพราะจิตเกิดอารมณ์ไม่ว่าจะโกรธ โลภ หรือหลงก็ตาม "ลมหายใจจะสั้น" คราวนี้ยิ่งทำให้ระบบของร่างกายซวนเซไปด้วย เลยทำให้หมดกำลังกันไปใหญ่
ดังนั้นทางที่ดีจะต้องสำรวมระวังกาย วาจา ใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ "ตั้งมั่น" จะรับใช้สังคมแล้วจะต้อง "ตั้งใจ" ไว้ให้ดี ถ้าพูดมาก ใจที่ตั้งไว้ก็จะล้มไปล้มมา บางครั้งอดรนทนไม่ได้เพื่อน ๆ ชวนไปกินเหล้า เฮฮาก็จะตามไปกับเขา คราวนี้ก็จะเสียเรื่องเสียราวไปอีก
ถ้าได้ฟังอย่างนี้แล้วอย่าพึงคิดว่าบุคคลที่จะรับใช้สังคมจะเป็นบุคคลที่พิเศษอะไรมาก เพราะศีล ๕ นั้นเป็น "ศีลพื้นฐาน" ของมนุษย์
เพียงแต่บางครั้งเราละเลยศีลบางข้อไปจนทำให้จิตใจของเราตกต่ำกว่าการเป็นมนุษย์ เมื่อเราเผลอไปเป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง ด้วยการประพฤติศีลข้อต่าง ๆ ก็ต้องรีบดึงจิตของตนเองให้กลับมาเป็นมนุษย์เหมือนดังเดิม
เปรต อสูรกาย และสัตว์นรก รับใช้สังคมไม่ได้ ขืนให้ไปรับใช้สังคมก็มีแต่จะสร้างโทษและหาผลประโยชน์เข้าใส่ตน
มนุษย์เท่านั้นที่จะรับใช้สังคมได้ ศีลทำคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ เราต้องการคนที่สมบูรณ์มารับใช้สังคม
เพราะจิตเดิมของมนุษย์นั้นเป็นจิตที่ "ประภัสสร" จิตเดิมดวงนี้เป็นจิตของ "ผู้ให้" ศีลนี้เองจะพาจิตดวงเดิมของคนให้สว่างไสวด้วยการเป็นผู้เสียสละรับใช้สังคม ประเทศชาติ โดยส่วนรวม
ที่มาจากบันทึก การรับใช้สังคมไทย : มีเวลามากขึ้นเมื่อเลิก "พูดเพ้อเจ้อ"
จิตที่คิดจะให้นั้นเบา และสุขใจครับ
ขอบคุณครับ...
เมื่อก่อนหลังจากที่เอนตัวลงพักผ่อนไปสักระยะก็เกิดความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมาในใจ แต่จะฝืนกายลุกขึ้นมาบันทึกไว้ก็จะเป็นการ "เบียดเบียนสังคมภายใน" ของตนเอง
ความคิดหนึ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาได้หลังจากที่หลายวันนี้ได้เฝ้าพิจารณาคำว่า "รับใช้สังคม" คือ "แล้วคนที่ทำงานอยู่ในภาคส่วนต่าง ๆ ปัจจุบันเขาไม่ได้ทำเพื่อรับใช้สังคมกันหรือ...?"
ครู อาจารย์ ข้าราชการ หมอ พยาบาล ทหาร ตำรวจ ฯลฯ อาชีพในภาคส่วนต่าง ๆ นี้ถ้าเขาไม่ได้ทำงานเพื่อรับใช้สังคมอยู่แล้วเขาเหล่านี้ทำเพื่อ "รับใช้ใคร...?"
เพราะหลาย ๆ ครั้งเราจะเห็นภาพการจัด "กิจกรรม" เพื่อคืนกำไรให้สังคม อาจจะเรียกได้ว่าดำเนินการตามหลักการ Green Marketing ของภาคธุรกิจ
สำหรับองค์กรธุรกิจนั้นก็สมควรอยู่ที่จะต้องมีจิตสำนึกในการ "รักษ์สังคม" บ้าง เพราะอุดมการณ์ของธุรกิจในอดีตนั้นมุ่งทำ "กำไรสูงสุด" เป็นหลัก ซึ่งบางครั้งมีการเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมและสังคมค่อนข้างมาก
ดังนั้นองค์กรอิสระทางด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จึงเรียกร้องให้องค์กรเอกชนทั้งหลายหันกลับมาใส่ใจในการ "รักษาสิ่งแวดล้อม" และองค์กรธุรกิจก็ขานรับโดยอาจจะนิยามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็น "การรับใช้สังคม"
แต่สำหรับหน่วยงานราชการหรือภาคราชการเอง มิใช่เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อรับใช้สังคมอยู่แล้วหรือ จึงจำเป็นที่จะต้องมีงบประมาณเสริมเพื่อจัดกิจกรรมเพื่อรับใช้สังคมดั่งเช่นบริษัทเอกชนเขาริเริ่มทำกัน
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ในช่วงยามดึกของค่ำคืนวันวาน คิดแล้วทำให้สะท้อนใจถึงภาพการทำงานที่แยก "กายและใจ" ออกจากกัน...!