การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนการวิจัยที่ต่อเนื่องมาจากการกำหนดคำถามการวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัยและสมมุติฐานการวิจัย ทั้งนี้ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลจะมีประเด็นใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณา ได้แก่ แหล่งข้อมูลการวิจัย เครื่องมือและวิธีการใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ตลอดจนการพัฒนาและเลือกใช้เครื่องมือ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีสาระโดยสังเขปดังต่อไปนี้
แหล่งข้อมูลการวิจัย
แหล่งข้อมูลการวิจัย หมายถึง แหล่งที่จะให้ข้อมูล หรือมีข้อมูลตามที่ผู้วิจัยต้องการ อาจเป็นบุคคล สิ่งของ สัตว์ หรืออื่นๆ ก็ได้ แหล่งข้อมูลการวิจัยที่กล่าวนี้เมื่อนักวิจัยจะทำการเก็บรวบรวมก็ต้องคำนึงถึงลักษณะสำคัญสองส่วน คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของแหล่งข้อมูล
ประชากร (Population) หมายถึง ทุกสิ่ง ทั้งหมดหรือทุกหน่วยของแหล่งข้อมูลที่ผู้วิจัยต้องการศึกษารวบรวม
กลุ่มตัวอย่าง (Sample group) หมายถึง ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวแทนประชากรที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา
ลักษณะของเทคนิควิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
1) การเลือกแบบเครือข่ายหรือก้อนหิมะ เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างเริ่มจากการเลือกบุคคล หรือกลุ่มที่เป็นตัวอย่างตามเกณฑ์ที่กำหนด หลังจากนั้นให้ตัวอย่างหรือผู้เข้าร่วมการวิจัยบอกชื่อตัวอย่างเพิ่มที่คิดว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ให้ข้อมูลในเรื่องที่ผู้วิจัยต้องการจะทราบได้เป็นอย่างดี และให้บุคคลที่ถูกระบุชื่อหาผู้ที่คิดว่าจะให้ข้อมูลดังกล่าวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รายชื่อที่ซ้ำๆ กัน จึงยุติการเลือกตัวอย่าง
2) การเลือกแบบครอบคลุม เริ่มจากนักวิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยที่กลุ่มตัวอย่างมักจะเป็นชุมชนหรือองค์กรหนึ่ง แล้วทำการศึกษารวบรวมข้อมูลตามประเด็นต่างๆ จากทุกๆ หน่วยของกลุ่มตัวอย่าง
3) การเลือกแบบโควตา หรือการกระจายสูง เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนจากประชากรกลุ่มย่อยๆ ให้ครบทุกกลุ่ม โดยเริ่มจากนักวิจัยกำหนดคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการซึ่งสอดคล้องกับปรากฏการณ์ที่ศึกษาเพื่อกำหนดร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการแล้วจึงเลือกตามนั้น
4) การเลือกกรณีสุดโต่ง เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยกลุ่มตัวอย่างจะมีลักษณะแตกต่างจากลักษณะปกติทั่วไปอย่างชัดเจน แล้วจึงศึกษาตัวแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจ อธิบายและเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างและความเหมือนกันของปรากฏการณ์นั้นกับกลุ่มที่มีลักษณะปกติ
5) การเลือกกรณีตามแบบทั่วไป มีลักษณะตรงกันข้ามกับกรณีสุดโต่ง นักวิจัยจะเลือกตัวอย่างที่มีคุณลักษณะตามที่บุคคลส่วนใหญ่มี นักวิจัยจะทำการกำหนดเกณฑ์คุณลักษณะ โดยพิจารณาให้เป็นเกณฑ์ที่มีลักษณะกลางๆ
6) การเลือกกรณีเฉพาะ เป็นการเลือกตัวอย่างที่มีคุณลักษณะบางประการเฉพาะตัวแตกต่างจากคุณลักษณะประชากรส่วนใหญ่
7) การเลือกกรณีเด่น คือ การเลือกกรณีรู้จัก เลือกโดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ศึกษาเสนอรายชื่อบุคคลที่ผู้วิจัยควรจะเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง
8) การเลือกกรณีตามแบบทั่วไปในอุดมคติ เป็นการผสมแนวคิดการเลือกกรณีตามแบบทั่วไปและการเลือกกรณีสุดโต่ง นักวิจัยจะกำหนดคุณลักษณะของตัวอย่างที่ต้องการให้เป็นไปในลักษณะสุดโต่ง ซึ่งเป็นคุณลักษณะตามอุดมคติ หลังจากนั้นก็เลือกตัวอย่างที่มีอยู่ในโลกความเป็นจริงโดยพยายามให้สอดคล้องกับคุณลักษณะในอุดมคตินั้น
9) การเลือกกรณีเปรียบเทียบ นิยมใช้กับงายวิจัยเชิงคุณภาพที่มีแบบแผนการวิจัยที่เรียกว่า พหุพื้นที่ ซึ่งเป็นแบบแผนการวิจัยที่ใช้กลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในพื้นที่ต่างกันเพื่อศึกษาปัญหาเดียวกัน และยังใช้สำหรับแบบแผนการวิจัยเชิงคุณภาพที่เรียกว่า พหุกรณี ซึ่งเป็นแบบแผนการวิจัยที่ศึกษากับตัวอย่างตั้งแต่ 2 กรณีขึ้นไป โดยตัวอย่างนั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันหรือร่วมกันสรุปคือการเลือกกรณีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาจากกรณีต่างๆ เป็นสำคัญ
เอกสารอ้างอิง
รัตนะ บัวสนธ์. (2551). ปรัชญาวิจัย (Philosophy of Research). กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรุณี อ่อนสวัสดิ์. (2553). เอกสารประกอบการบรรยาย วิชา ระเบียบวิธีวิจัยขั้นสูง (390611).พิษณุโลก. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สวัสดีครับ ได้อ่านแล้วทบทวนความรู้ การวิจัยได้เป็นอย่างดี ขอบคุณที่แบ่งปันครับ
ขอบคุณมากนะค่ะ สำหรับการแบ่งปัน เป็นการสรุปความรู้ที่เข้าใจง่ายดี เป็นกำลังใจให้นะค่ะ