จัดกิจกรรมให้นักเรียนหันมาทานผลไม้แทนขนมกรุบกรอบ


จัดกิจกรรมให้นักเรียนหันมาทานผลไม้แทนขนมกรุบกรอบ

บอกให้ผู้นำนักเรียนบอกถึงโทษของขนมและประโยชน์ของการกินผลไม้ให้เพื่อนนักเรียนฟังโดยการไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดังนี้

                               โทษของขนมขบเคี้ยว                            

สวนดุสิตโพลได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริโภคขนมขบเคี้ยว ซึ่งปัจจุบันเด็กไทยนิยมรับประทานขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้น เพราะมีให้เลือกหลายแบบหลายรสชาติ ทำให้พฤติกรรมการบริโภคของเด็กเปลี่ยนแปลงไป ส่วนหนึ่งมองว่าเกิดจากตัวเด็กเองที่ชื่นชอบการรับประทานขนมอีกส่วนหนึ่งมองว่าเกิดจากสื่อโฆษณาที่จูงใจเด็กให้ลองรับประทาน โดยทำการสำรวจประชาชนทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,057 คน เป็นชาย 434 คน 41.06% และหญิง 623 คน 58.94% ระหว่างวันที่ 12 - 13 มีนาคม 2547

ต่อคำถามว่า “ประชาชน” เชื่อหรือไม่? ว่าเด็กบริโภคขนมขบเคี้ยว เป็นเพราะการโฆษณา ส่วนใหญ่เชื่อ 71.76% เพราะ สื่อโฆษณามีอิทธิพลต่อเด็กเป็นอย่างมากในปัจจุบัน, สื่อโฆษณาสมัยนี้มีวิธีการเชิญชวนที่น่าสนใจมากขึ้น ฯลฯ มีประชาชน 15.36% ไม่แน่ใจเพราะ อาจไม่ใช่เพียงโฆษณาแต่รวมถึงรสชาติที่ถูกปากหรือบริโภคตามเพื่อนก็ได้ ฯลฯ ส่วนอีก 12.88%ไม่เชื่อ เพราะ เป็นนิสัยปกติของเด็กอยู่แล้วที่ต้องชอบทานขนม, เด็กจะเลือกที่รสชาติ บรรจุภัณฑ์และของที่แถมมามากกว่า ฯลฯ

“ประชาชน” คิดว่าบุตรหลาน ทำไม? จึงชอบบริโภคขนมขบเคี้ยว อันดับ1 39.23% บอกว่า มีรสชาติและสีสันน่ารับประทาน ถูกใจเด็ก อันดับที่ 2 14.12%เป็นความนิยมของเด็ก/ตามเพื่อน อันดับที่ 3 13.67%มีของแถม ของชำร่วยไว้ล่อใจเด็ก อันดับที่ 4 หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก 12.13% ส่วนอันดับสุดท้าย 12.10% มีการใช้การโฆษณาที่ดึงดูดใจเด็ก ส่วนอื่นๆ อีก 8.75% บอกว่ามีบรรจุภัณฑ์ที่สวย, น่าสนใจ, แปลกตา

เมื่อถามถึงความเห็นของ “ประชาชน” ว่า อยากให้บุตรหลาน บริโภคขนมขบเคี้ยวหรือไม่? ส่วนใหญ่ไม่อยากให้รับประทาน 61.54%เพราะ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าทางอาหารและมีสารปนเปื้อนอยู่ อาจเกิดการสะสมอยู่ในร่างกายอาจเป็นอันตรายได้ ฯลฯ อันดับที่ 2 ไม่แน่ใจ 22.67% เพราะ ต้องพิจารณาดูก่อนว่าสมควรจะกินมากน้อยเพียงใดเพราะบางอย่างก็มีประโยชน์บางอย่างก็ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ อันดับที่ 3 อยากให้รับประทาน 15.79% เพราะ ขนมบางอย่างก็มีประโยชน์, คงห้ามไม่ได้เพราะเป็นธรรมชาติของเด็ก แต่ควรควบคุมให้บริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ฯลฯ

“ประชาชน” มีความคิดเห็นว่า ผู้ปกครอง/พ่อแม่น่าจะมีส่วนสำคัญที่สุดในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลการบริโภคขนมขบเคี้ยวของเด็กคือ ให้คำแนะนำแก่บุตรหลานให้รู้จักการบริโภคสิ่งที่มีประโยชน์ 51.60% อันดับที่ 2 ดูแลพฤติกรรมการบริโภคของเด็กอย่างใกล้ชิด 26.98% อันดับที่ 3 เลือกซื้ออาหารที่มีประโยชน์พร้อมทั้งอธิบายทั้งคุณและโทษของขนมขบเคี้ยวให้เด็กได้ทราบ 21.42%

ส่วนครู/อาจารย์ควรให้ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของขนมขบเคี้ยว 52.51% อันดับที่ 2 สอนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการ สารอาหารที่ควรได้รับ 24.61%อันดับที่ 3แนะนำสิ่งที่มีประโยชน์แก่เด็ก เช่น นม ผัก ผลไม้ ธัญพืช ฯลฯ 22.88%

สำหรับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)ควรมีส่วนร่วมในการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบคุณภาพการผลิต, คุณค่าทางโภชนาการ 46.15% อันดับที่ 2 ตรวจสอบและดูแลบริษัทผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวอย่างเข้มงวด 32.69% อันดับที่ 3 ไม่ให้มีการโฆษณาที่ไม่เป็นความจริง เกิดการยั่วยุให้บริโภค 21.16% และรัฐบาล ควรต้องดูแลควบคุมมาตรฐาน ตรวจสอบสินค้าต่างๆ อย่างเข้มงวด 39.01% อันดับที่ 2 ปราบปรามผู้ผลิตที่ไม่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.)32.82%อันดับที่ 3 ส่งเสริมขนมไทย เช่น ทองม้วน, มะข้ามแก้ว เป็นต้น28.17%

ส่วน“ประชาชน” คิดว่า “รัฐบาล” ควรมีมาตรการในเรื่องนี้อย่างไร ?อันดับที่ 1 ควรมีการควบคุมคุณภาพของขนมขบเคี้ยว เช่น วัตถุดิบ, การผลิต30.69%ออกกฎหมายหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนแก่ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยว20.45% อันดับที่ 3 ดูแลในเรื่องของการโฆษณาไม่ให้เกินความเป็นจริง20.44%อันดับที่ 4 ควรมีการกำหนดคุณประโยชน์สารอาหารขั้นต่ำที่จะได้รับจากขนม 18.48%อันดับที่ 5 รณรงค์ให้เห็นคุณและโทษของขนมขบเคี้ยวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 9.94%

ที่มา
http://www.ocpb.go.th/show_news.asp?id=288

 

 

ประโยชน์ของผลไม้ต่อสุขภาพ

มีทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม และประโยชน์เฉพาะในการป้องกันโรคสำคัญ ๆ อันที่จริงประโยชน์ชของผลไม้ที่ช่วยป้องกันโรคบางอย่างได้นั้น เป็นที่รู้และปฏิบัติกันมานานตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 แต่การค้นพบวิตามินอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 20 นี้เอง เช่นกองทัพเรืออังกฤษได้ใช้ส้มและมะนาวป้องกันโรคลักปิดลักเปิดในหมู่กะลาสีเรือมาเป็นเวลากว่าร้อยปีก่อนการค้นพบวิตามินซีในมะนาวในปี ค.ศ. 1928 อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาหมุนเปลี่ยน โรคอันเนื่องมาจากการขาดวิตามินเป็นปัญหาน้อยลงไปมาก ความสำคัญของผลไม้ในการป้องกันโรคจึงลดลงไปด้วย ต่อเมื่อค้นพบว่าวิตามินและแร่ธาตุสามารถทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนท์ (antioxidants) ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน อันเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญสุดของชาวตะวันตก และผู้มีอันจะกินในตะวันออกนี่แหละ ความสนใจในความสำคัญของวิตามินและแร่ธาตุในผลไม้ จึงกลับลุกโหมเป็นไฟขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว  

  • ผลไม้ ชะลอความแก่ เสริมความงาม คนเราจะแก่เร็วหรือช้าขึ้นกับสภาพการทำงานของระบบการสร้างเซลล์ และระบบภูติต้านทาน  (immune system) สองระบบนี้ช่วยกันทำงาน ต่อสูความเจ็บป่วย โรมรันกับสารพิษและเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้าสู่ในร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอหรือถูกทำลาย อีกทั้งสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่เมื่อระบบเซลล์และระบบภูมิต้านทานทำงานได้ดี การแก่ตัวจะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่โดยทั่วไป ความแปรปรวนของชีวเคมีในร่างกายอันเนื่องจากความเครียด สารพิษจากสิ่งแวดล้อมการใช้แรงกายที่หนักหักโหมเกินกำลัง รวมทั้งอาหารที่กิน มีส่วนสำคัญมากที่ทำให้ระบบทั้งสองเสื่อมโทรมลง ส่งผลให้แก่เร็วขึ้น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์โภชนาการพบว่า เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม สามารถต้านความชราภาพได้ด้วย แอนติออกซิแดนท์เหล่านี้ช่วยป้องกันและลดความเสื่อมของเซลล์อันเนื่องมาจากปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ (free radicals) ธำรงความแข็งแรงของระบบเซลล์ไว้ได้นาน ดังนี้ ผลไม้ที่สารต้านอนุมุลอิสราจึงช่วยชะลอความแก่ ผลไม้ยังช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง ก็เท่ากับรักษาระบบภูมิต้านทานให้ไม่ต้องถูกใช้งานหนัก ก็เท่ากับช่วยชะลอความแก่ไปโดยปริยาย คนกินผลไม้มาก ๆจะเห็นผลทันตา ผิวหนังจะเต่งตึงความเหี่ยวย่นจะปลาสนาการไป รูปหน้าที่สวยจริงก็จะปรากฎไม่ถูกบดบังทำอัปลักษณ์ใบหน้ากางด้วยน้ำและไขมัน รอยย่นจะบางเบา นัยน์ตาจะใสและแจ่มจรัส ผลไม้มิได้ชะลอความแก่แต่ระดับผิว (เผิน) เท่านั้น เพราะผิวเป็นเพียงตัวบ่งบอกสุขภาพคนกินผลไม้มากจะมีโคเลสเตอรอลพอเหมาะ ความดันโลหิตพอดี ตับไตแข็งแรง ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกโดยตรงต่อผิวพรรณดังนั้น สุขภาพ ผิวพรรณ ความงาม และการชะลอความแก่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก นอกจากนั้น วิตามินซีและวิตามินเอยังช่วยให้ผิดเต่งตึงมีน้ำมีนวลโตยตรงอีกโสตหนึ่งด้วย ผลไม้ช่วยรักษาอาการเสื่อยสภาพบางอย่างอันเนื่องมาจากวัยได้ เช่น กินผลไม้ช่วยในสมรรถภาพพทางเพศไม่เสื่อมเร็ว ช่วยป้องกันอาการหลงลืมตามวัย เป็นต้น ในด้านสุขภาพผู้หญิง มีรายงานว่าวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids) ในผลไม้ตะกูลส้ม (ที่ใส้หรือแกนของกลีบผล) ช่วยลดการเสียเลือดประจำเดือนให้น้อยและสั้นลงจนไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป 
  • ผลไม้ คลายอารมณ์ กินผลไม้มาก ๆ ช่วยทำให้สุขภาพจิตดี เพราะเมื่อไม่เบียดเบียนชีวิต จิตใจย่อมเกิดศานติสุข นอกจากนั้นในผลไม้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุหลายอย่างที่นักวิชาการได้พบว่า ส่งผลให้นักนิยมผลไม้เป็นคนอารมณ์ดีกว่าผู้อื่น ความรู้สึกซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า และอารมยืเสียซึ่งหลาย ๆ นเป็นกัน อาจเกิดมาจากน้ำตาลในเลือดมีระดับต่ำ (hypoglycemia) ผลไม้ โดยเฉพาะน้ำผลไม้คั้นสักแก้ว จักช่วยให้กลับตื่นตัวและเบิกบานได้ โดยไม่ต้องอาศัยกาแฟหรือชาเป็นตัวกระตุ้นอย่างที่เคยชิน กล่าวกันว่าร้อยละ 80 คนที่มีปัญหาร่างกายอ่อนเพลียเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้ มูลเหตุสำคัญมักเกี่ยวข้องกับปัญหาปริมาณโพแทสเซียมและแมกนีเซียมในร่างกายมีน้อยเกินไป การกินผลไม้ที่อุดมด้วยแร่ธาตเหล่านี้ ทำให้เกิดความสมดุลทางเคมีในร่างกาย และแก้ไขปัญหาร่างการยอ่อนเพลียได้อย่างวิเศษ   
  • ผลไม้ กับการลดน้ำหนัก การกินผลไม้ให้มากเป็นวิการลดน้ำหนักที่ได้ผลดี เพราะร่างกายยังได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ อย่างพอเพียงจากผลไม้ที่กินได้มากเท่าที่ต้องการ ร่างกายยังแข็งแรง ขณะที่น้ำหนักตัวลดลงได้ดังปรารถยน ในคนอ้วน กระเพาะอาหารได้ถูกกระตุ้นจนติตนิสัยชอบหลั่งน้ำย่อย ทำให้รู้สึกหิวบ่อย ๆทว่าแม้จะกิจจุ ร่างกายกลับยังคงขาดแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นอยู่ ทำให้เกิดแรงกระตุ้นอยากกิน การลดนำน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารเป็นการหักหาญร่างกาย ซึ่งนอกจากจะไม่สำเร็จถาวรแล้ว ยังทำให้เครียด สุขภาพจิตเสียเอาได้ตรงกันข้าม การหันมากินผลไม้เป็นหลัก ไม่แตกหักกับระบบย่อยอาหารที่นิสัยเสียอยู่แล้วในทันที ผลไม้ยังช่วยให้ระบบร่างกายอื่น ๆ สามารถทำงานได้สมบูรณืมากขึ้นอีก ผลรวมที่เกิดจึงเป็นน้ำหนักลด แต่จิตใจสดชื่น อารมณ์ดี แถมร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้นอีก ผลไม้นอกจากให้วิตามินและแร่ธาตุอย่างอุดมแล้ง ยังมีเส้นไยที่ช่วยให้หนักท้อง และเป็นผลดีต่อการทำงานของลำไส้ ยิ่งกว่านั้นเส้นใยจากผลไม้ยังช่วยขับพิษ (toxin) และสารตกค้างสะสมที่ผนังลำไส้ออกไปได้อีกด้วย สิ่งตกค้างเหล่านี้หากไม่ถูกขับออก จะส่งผลให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย           

การกินผลไม้ให้ได้สมประโยชน์และช่วยลดน้ำหนักนั้น ต้องรู้จักกินด้วย โดยทั่วไปเรามักติดนิสัยกินผลไม้หลังอาหารเพื่อล้างปาก อันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมของหวานและผลไม้หลังอาหาร นี่เป็นกินผลไม้พอเป็นพิธีที่มักมิได้ปริมาณและไม่สมประโยชน์ เพราะกินผิดเวลา หลักการกินผลไม้ที่ถูกต้อง ท่านว่าควรกินในเวลาท้องว่างจึงจะดี ผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่ายที่สุด อยู่ในกระเพาะชั่วเวลาสั้น ๆ เพียง 30 นาทีก็ผ่านต่อไปถึงลำไส้เพื่อดูดซึมสารอาหารได้แล้ว เหตุที่ผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่ายก็เพราะสารอาหารเหล่านนี้ที่ดำรงอยู่ในผลไม้อยู่ในสภาพที่ย่อยมาแล้ว จึงแทบไม่ต้องเสียเวลาย่อยในกระเพาะอีก เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นระบบร่างกายที่ใช้พลังงานมากที่สุด ดังนั้นการกินผลไม้ให้ได้ประโยชน์ สมคุณค่า ประหยัดพลังงาน และช่วยล้างพิษ (toxin) จึงเป็นการกินในขณะท้องว่าง หากินพร้อมหรือหลังอาหารอื่นทันที ผลไม้จะถูกกักอยู่กับอาหารอื่น ๆ ที่กระเพาะเมื่อต้องรอนาน น้ำตาลและแป้งในผลไม้ที่ผสมปนเปกับอาหารอื่น ๆ อาจเกิดบูดเสีย (ferment)  ขึ้นในกระเพาะ ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน ไม่สบายได้ แม้อาการท้องไม่สาบจะมิได้เกิดขึ้นกับทุกคนโดยเสมอหน้า เพราะกระเพาะอาหารของบางคนอาจปรับตัวได้ดี แต่กระนั้น หลักการกินผลไม้เมื่อท้องว่าก็ยังถูกต้องเมื่อสารอาหารในผลไม้ย่อยง่ายหรืออยู่ในสภาพที่ร่างกายจใช้ได้โดยตรงแล้ว ผลไม้ก็ควรผ่านกระเพาะไปสู่ลำไส้ให้เร็วที่สุด ส่วนหลักปฏิบัติที่ให้กินยามท้องว่างนี้ ผู้รู้บางคนแนะนำควารเป็นประมาณอย่างน้อย 30 นาที ก่อนหรือหลังอาหารอื่น  ในหมู่นักผลไม้นิยม ต่างเห็นสอดคล้องกันว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกินผลไม้ที่สุด คือ ช่วงเช้า กินผลไม้เป็นอาหารเช้า ไม่จะกินสด ๆ ทั้งผล หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้คั้นเพราะนี่คือช่วงเวลาที่ท้องจะว่างอย่างแน่นอน ตั้งแต่เช้าไปยันเที่ยง      คุณจะกินผลไม้กี่มื้อก็ได้ถ้ารู้สึกหิว อาหารเช้าเป็นผลไม้นี่ยังมีข้อดีตรงที่ร่างกายสามารถประหยัดพลังงานได้มากเพราะผลไม้แทบไม่ต้องเสียเวลาย่อยในกระเพาะอาหาร อย่าลืมว่าการย่อยต้องใช้พลังงานมาก พลังงานที่ประหยัดได้ทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้สร้างเนื้อเยื่อ ขับของเสีย และทีสำคัญก็คือ ทำให้คน ๆ นั้นมีพลังทำงานอย่างสดชื่นไปได้ตลอดตั้งแต่เช้า หลักพื้นฐานของการกินผลไม้อีกข้อหนึ่งหนึ่งก็คือ กินผลไม้สดจึงจะได้สมประโยชน์ ผลไม้ที่ถูกความร้อนทำให้สุกหรือผลไม้ที่ถูกแปรรูป เช่น ผลไม้กระป๋อง แยม ผลไม้เชื่อมดองจะสูญเสียวิตามินและแร่ธาตุไปมาก ยิ่งผลไม้กระป๋องด้วยแล้วยิ่งไม่สมควร เพราะนอกจากคุณค่าน้อย ยังราคาแพงอีกเมื่อถูกความร้อน วิตามินในผลไม้จะถูกทำลายไปโดยง่าย อย่างวิตามินซีและบียิ่งสูญเสียง่าย เพราะละลายกับน้ำได้ดี สิ่งที่ควรรู้อีกประการหนึ่งก็คือ คุณค่าของผลไม้จะสูงสุดเมื่อสุกคาต้น ธุรกิจการค้าผลไม้ที่เก็บเกี่ยวผลเมื่อแก่แต่ไม่สุก เพื่อสะดวกต่อการขนส่ง และการบ่มให้สุกเพื่อขาย แม้จะทำให้ตลาดผลไม้กว้างใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องเสียสละคุณค่าทางโภชนาการไปไม่น้อย ในทางปฏิบัติเราจึงควรกินผลไม่ท้องถิ่น ผลไม้ตามฤดูกาล และหากถ้าเลือกได้ ควรซื้อผลไม้ที่ปลูกตามสภาพธรรมชาติ และสุขคาต้น ซื้อผลไม้จากแม่ค้าพ่อค้าข้างทางและในตลาดสด ผลไม้ในซุเปอร์มาร์เกตควรเป็นทางเลือกสุดท้าน หากพิจารณาในราคาและความสดของสินค้า                                                              

หมายเลขบันทึก: 392196เขียนเมื่อ 8 กันยายน 2010 16:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 18:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท