ภาพซ้ายด้านบนเป็นดอกไม้ในป่าปูนริมทางรถไฟ สวยมาก มันแทรกช่องว่างของปูนที่ปริแยก เพียงเพราะได้รับแสงอันน้อยนิด
ก่อนการเดินทางมาสวิตเซอร์แลนด์ พวกเราคุยและวางแผนกันว่า ไหนๆ เราก็เสียค่าเครื่องบิน เดินทางมาแล้ว เที่ยวทั้งทีก็เที่ยวให้นานไปเลย แต่เวลาที่ยาวนานก็หมายถึงค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นตามไปด้วย วิธีการประหยัดก็คือเราหาที่พักฟรีที่ต่างแดน หลังจากได้ที่พักที่ซูริคซึ่งเป็นเพื่อนรักของพี่เอียดที่ร่วมทางมาด้วยแล้ว ครูภาทิพก็ติดต่อมายังญาติที่โลซาน จึงได้ที่พักที่โลซานอีก ๒ คืน คืออพาร์ตเมนท์ของ นิดกับคุณฮันท์
นิดและคุณฮันต์ก็ต้อนรับและดูแลพวกเราไม่แตกต่างไปจากพี่เม้าและคุณเคิร์ท ทั้งที่พักและอาหาร ขณะที่เราสนุกเพลิดเพลินที่ซูริค นิดก็โทรติดต่อมาโดยตลอด พร้อมทั้งนัดหมายสถานที่ที่จะมารับเรา คนที่เคยไปสวิตเซอร์แลนด์จะทราบดีว่า เมืองซูริคกับโลซานมันห่างไกลกันละทิศกันเลย หรือเหนือกับใต้ ประมาณชียงใหม่กับสงขลาได้ กระมัง เพียงแต่การคมนาคมของเขาดีกว่าเรา ทำให้การเดินทางรวดเร็วกว่า นิดนัดหมายมารับพวกเราที่สถานีรถไฟเมืองเบิร์น ซึ่งเป็นกึ่งกลางระหว่างทางพอดี
ด้วยระยะทางที่ห่างไกลของเมืองซูริคกับโลซาน นิดจึงเล่าเรื่องการเดินทางมาสวิตครั้งแรกให้เราฟังว่า นิดลงเครื่องที่ซูริค แล้วเดินทางโดยรถไฟเพื่อมาที่โลซานเอง โดยคุณฮันท์ให้เหตุผลว่า “ให้ฉันรักเธอมากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ขับรถยนต์ไปรับเธอด้วยตัวเองหรอก” นี่ถ้าเป็นหนังไทย พระเอกต้องขับรถมารับนางเอกเองแน่ๆ เลย แต่นี่ฝรั่งเขาคงเห็นว่าเมืองเขาปลอดภัยสะดวก น่าจะมาได้กระมัง ถ้าเป็นครูภาทิพ คงสละสิทธิ์ที่จะเดินทางมาเป็นแน่
เมื่อนิดมาพบกับเราที่เมืองเบิร์น ก็พาพวกเราเดินเล่นที่เมืองเบิร์น ประมาณ ๒ ชั่วโมง ก็พากันขึ้นรถไฟไปยังโลซาน นำสัมภาระไว้ยังที่พัก แล้วเข้าไปจับจ่ายอาหารไทยที่ร้านของชาวเวียดนาม ซึ่งมีครบทุกอย่างตั้งใจจะทำขนมจีนแกงไตปลาซึ่งพวกเรานำไตปลาแห้งไป ส่วน นิด คุณฮันท์และโรเช่ ต้อนรับเราด้วย หมูย่างไก่ย่าง สลัดผัก และไวน์ พวกเราชมความอร่อยของหมูย่างที่นุ่มหอม กลมกล่อมไม่ขาดปาก จนเกือบลืมขนมจีนแกงไตปลา จึงได้ทราบว่า คุณฮันท์เรียนด้านการทำอาหารมาก่อน คืนนั้นพวกเราได้แย่งห้องนอนของโรเช่ แต่โรเช่กลับดีใจ เพราะการแย่งห้องของพวกเราทำให้โรเช่ได้นอนกับพ่อและแม่
ภาพบน ขนมจีนแกงไตปลาจากปักษ์ใต้ประชันหมูย่างไก่ย่างหอมกรุ่นของคุณฮันท์ ภาพล่างศาลาไทยที่โลซานไกลออกไปฝั่งตรงกันข้ามคือประเทศฝรั่งเศส
รุ่งเช้าพวกเราดื่มชาตะไคร้และครัวซองที่อร่อยมากๆ เอาปาท่องโก๋มาแลกก็ไม่ยอมแล้วเดินทางไปเที่ยวเขาจุงฟราวน์ โดยคุณฮันท์จัดเตรียมตารางเวลารถขบวนต่างๆ ให้เรา พวกเราเดินทางไปเขาจุงฟราวน์ ด้วยตั๋วที่เราซื้อไปจากเมืองไทยเช่นเดียวกัน
ก่อนไปเที่ยวมีเสียงเรียกร้องจากน้องพิมว่ามื้อเย็นนี้ขอชิมฟองดูฝีมือคุณฮันท์
เมื่อพวกเรากลับมาที่พัก เราก็พบว่าคุณฮันท์กำลังทำฟองดูอย่างขมีขมัน โดยมีโรเช่เป็นลูกมือ พี่เอียดจึงเข้าไปทำขนมจีนและอุ่นแกงไตปลาไว้สำรอง
เมื่อถึงเวลาอาหาร พวกเราเริ่มที่ฟองดูก่อน ซึ่งฟองดูนี้เป็นฟองดูแบบดั้งเดิมของชาวสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งแรกมีความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ลิ้มชิมรส แต่จากกลิ่นที่ฉุนร้อนแรงของหอมใหญ่และเครื่องเทศทำให้พวกเราเริ่มรู้ชะตากรรม ทุกคนจับไม้จิ้มขนมปังถือไว้ด้วยท่าที่มาดมั่น และทำตามแบบเจ้าบ้าน คำแรก หอม ร้อน นุ่มเหนียวหนึบ ยังพอไปได้ คำที่สองเริ่มหันหน้ามองกัน พวกเราต้องดื่มไวน์สลับบ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่เลี่ยน ขณะที่เจ้าบ้านทานอย่างเอร็ดอร่อย พวกเราทานไปเรื่อยๆ ยิ้มขำๆ ให้แก่กัน น้องพิมผู้เรียกร้อง ก็ทานไปไม่กล้าบ่น แต่สังเกตว่าความกระตือรือร้นเริ่มลดลง
เมื่อฟองดูเริ่มแห้งงวด คุณฮันท์ก็นำช้อนมาช้อนเอาตะกอนก้นหม้อ ออกมาเป็นแผ่น แล้วแจกให้ทุกคนได้ชิม รสชาติดีกว่าฟองดูเหลว เพราะมีกลิ่นและรสใกล้เคียงกับปลาเค็มบ้านเรานั่นเอง เมื่อขนมปังสำหรับจิ้มฟองดหมด ทุกคนยิ้มเหมือนกับนักวิ่งที่วิ่งถึงเส้นชัย จากนั้นขนมจีนแกงไตปลาที่เหลือจากเมื่อวานก็ได้รับเกียรติเป็นรายการต่อไป พร้อมทั้งหมูย่างและไก่ย่างจากมื้อเมื่อวานก็หายไปภายในพริบตา
เมื่อทานอาหารเสร็จ คุณฮันท์พาพวกเราชมเมืองโลซานในยามค่ำ ไปชมศาลาไทย ชมชายแดนฝรั่งเศสที่มองเห็นอยู่ลิบๆ ชมโบสถ์เก่าแก่ และกลับมานอนในห้องของโรเช่เช่นเดิม ก่อนนอนคุณฮันท์เข้ามาลาพวกเราก่อนเพราะคุณฮันท์ต้องเข้าทำงานตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา
รุ่งเช้าของวันที่ ๒๘ นิดมาส่งพวกเราขึ้นรถเมล์ ลงจากรถเมล์พวกเรานั่งรถไฟจากโลซานมาถึงซูริค พวกเราต่อรถราง ไปยังจุดนัดหมายที่พี่เม้าและคุณเคิร์ทรอรับเพื่อไปดินเนอร์เลี้ยงส่งพวกเราที่ชาเลต์ เป็นการอำลา
ไม่มีความเห็น